วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563

सतधारा बौध स्तूप ऐतिहासिक / Satdhara Stupas Buddhist Monument#โลกนี้โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองย่อมไม่มีในอายตนะนั้น #โสดาบางคนเกิดอีกชาติเดียวก็จะจบละบางคนอีกสามชาติจะจบไม่เกิดอีกบางคนเจ็ดชาติถึงจะไม่เกิดกำลังมันไม่เท่ากันแต่ว่าล้างความเห็นผิดได้เท่ากันว่าตัวตนไม่มีพอถอยออกจากสภาวะนี้จิตจะกลับเข้ามาอยู่ยังความเป็นมนุษย์ปกติอย่างนี้แหละแล้วมันจะทวนเข้าไปดูจิตมันจะทวนอัตโนมัติเข้าไปดูมันจะพบว่าจิตนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกต่อไปร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนอีกต่อไป ที่ไหนๆก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไปจะกลวงๆว่างจากความเป็นตัวตนไปหมดอย่างคำว่าจิตว่างจิตว่างไม่ใช่ว่างเปล่าว่างเปล่านั้นมันหมายถึงว่า ไม่มีอะไรเลยมันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ทางคำว่าว่างว่างว่างจากความเป็นตัวเป็นตนสภาวะนั้นมีอยู่แต่ไม่ใช่ตัวใช่ตนไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเพราะงั้นจะมีความรู้สึกว่ามันกลวงๆมันว่างๆไม่มีตัวไม่มีตนแต่มีการกระทำยังมีการส่งกระแสจากความไม่มีตัวไม่มีตนจิตที่ไม่ใช่ตัวเราและยังส่งกระแสไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจไปยึดอารมณ์ได้อีกเรียกว่ามีการกระทำแต่ไม่มีผู้กระทำจะรู้ชัดเลยว่าการกระทำมีอยู่แต่ไม่มีผู้กระทำจะเห็นอย่างนี้ หมดความปรุงแต่งของจิตจิตจะค่อยๆปรุงน้อยลงๆถึงจุดหนึ่งหยุดปั๊บลงไปตรงหยุดปั๊บลงไปนี่จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิโดยอัตโนมัติเลย เมื่อรวมเข้าอัปปนาสมาธิแล้ว ตรงนี้จะไม่คิดไม่นึกอะไรแล้ว จะเห็นสภาวธรรม (รูปธรรม นามธรรม) เกิดดับขึ้นภายใน ๒-๓ ขณะ ใจนี้สักว่ารู้สักว่าเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีกระทั่งความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ สักนิดเดียวเลย ถัดจากนั้น จิตจะวางการรู้สภาวะทบทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้พอทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วอริยมรรคจะแหวกอาสวะกิเลสทั้งหลายหรือสังโยชน์ทั้งหลายอาสวะที่ห่อหุ้มจิตอยู่ สังโยชน์ที่แทรกอยู่ในจิตจะถูกทำลายออกไป ตรงกระบวนการทำลายล้างนี่ ๑ ขณะเท่านั้น พอขาดสะบั้นลงแล้ว ตรงนี้เราจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะบ้าง ๓ ขณะบ้าง ตรงนี้เป็นผลแล้ว เป็นโลกุตรผลนะ ตรงที่เกิดอริยมรรคเรียกว่าโลกุตตรเหตุ มรรคเป็นเหตุ ผลเป็นผล ตรงที่เห็นเป็นผลนี่จะเห็นไม่เท่ากัน พวกที่สติปัญญาแก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๓ ครั้ง ๓ ขณะ พวกที่ยังไม่แก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะ ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมากลับสู่โลกภายนอกน­ี้ พอกลับมาสู่โลกภายนอก มันจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้­นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่ากิเลสตัวไหนหายไปแล้ว กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ รู้ว่ายังมีงานต้องทำอีก แต่ถ้าตัดครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์นะ มันทวนวับเข้าไป มันจะเห็นนิพพานชัดเจนเลย ไม่มีกิเลสอะไรให้ต้องลดละอีกแล้ว มันไม่มีกิเลสเหลือ จะเห็นนิพพานล้วนๆ #เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าเราต้องเชื่อพ่อแม่เราต้องรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆแล้ววันหนึ่งเราจะได้มรดกของพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หอบเอานิพพานแล้วหายไปไหนนิพพานยังอยู่เต็มโลกเต็มบริบูรณ์อยู่นี่แหละ คนมีบุญวาสนามีปัญญาแก่รอบ เจริญวิปัสสนาแก่รอบแล้วก็จะได้รับ นี่รางวัลสูงสุดของชีวิตอยู่ตรงนี้ ชีวิตที่เหลือเป็นชีวิตที่อิสระโปร่งเบา ปราศจากความอยาก ความยึดและความดิ้นรนปรุงแต่ง ไม่มีความทุกข์หรือสิ่งใดครอบงำจิตได้

#โลกนี้โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

#โสดาบางคนเกิดอีกชาติเดียวก็จะจบละบางคนอีกสามชาติจะจบไม่เกิดอีกบางคนเจ็ดชาติถึงจะไม่เกิดกำลังมันไม่เท่ากันแต่ว่าล้างความเห็นผิดได้เท่ากันว่าตัวตนไม่มีพอถอยออกจากสภาวะนี้จิตจะกลับเข้ามาอยู่ยังความเป็นมนุษย์ปกติอย่างนี้แหละแล้วมันจะทวนเข้าไปดูจิตมันจะทวนอัตโนมัติเข้าไปดูมันจะพบว่าจิตนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกต่อไปร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนอีกต่อไป ที่ไหนๆก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไปจะกลวงๆว่างจากความเป็นตัวตนไปหมดอย่างคำว่าจิตว่างจิตว่างไม่ใช่ว่างเปล่าว่างเปล่านั้นมันหมายถึงว่า ไม่มีอะไรเลยมันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ทางคำว่าว่างว่างว่างจากความเป็นตัวเป็นตนสภาวะนั้นมีอยู่แต่ไม่ใช่ตัวใช่ตนไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเพราะงั้นจะมีความรู้สึกว่ามันกลวงๆมันว่างๆไม่มีตัวไม่มีตนแต่มีการกระทำยังมีการส่งกระแสจากความไม่มีตัวไม่มีตนจิตที่ไม่ใช่ตัวเราและยังส่งกระแสไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจไปยึดอารมณ์ได้อีกเรียกว่ามีการกระทำแต่ไม่มีผู้กระทำจะรู้ชัดเลยว่าการกระทำมีอยู่แต่ไม่มีผู้กระทำจะเห็นอย่างนี้
หมดความปรุงแต่งของจิตจิตจะค่อยๆปรุงน้อยลงๆถึงจุดหนึ่งหยุดปั๊บลงไปตรงหยุดปั๊บลงไปนี่จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิโดยอัตโนมัติเลย เมื่อรวมเข้าอัปปนาสมาธิแล้ว ตรงนี้จะไม่คิดไม่นึกอะไรแล้ว จะเห็นสภาวธรรม (รูปธรรม นามธรรม) เกิดดับขึ้นภายใน ๒-๓ ขณะ ใจนี้สักว่ารู้สักว่าเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีกระทั่งความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ สักนิดเดียวเลย ถัดจากนั้น
จิตจะวางการรู้สภาวะทบทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้พอทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วอริยมรรคจะแหวกอาสวะกิเลสทั้งหลายหรือสังโยชน์ทั้งหลายอาสวะที่ห่อหุ้มจิตอยู่ สังโยชน์ที่แทรกอยู่ในจิตจะถูกทำลายออกไป
ตรงกระบวนการทำลายล้างนี่ ๑ ขณะเท่านั้น พอขาดสะบั้นลงแล้ว ตรงนี้เราจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะบ้าง ๓ ขณะบ้าง ตรงนี้เป็นผลแล้ว เป็นโลกุตรผลนะ ตรงที่เกิดอริยมรรคเรียกว่าโลกุตตรเหตุ มรรคเป็นเหตุ ผลเป็นผล ตรงที่เห็นเป็นผลนี่จะเห็นไม่เท่ากัน พวกที่สติปัญญาแก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๓ ครั้ง ๓ ขณะ พวกที่ยังไม่แก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะ
ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมากลับสู่โลกภายนอกน­ี้ พอกลับมาสู่โลกภายนอก มันจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้­นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่ากิเลสตัวไหนหายไปแล้ว กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ รู้ว่ายังมีงานต้องทำอีก แต่ถ้าตัดครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์นะ มันทวนวับเข้าไป มันจะเห็นนิพพานชัดเจนเลย ไม่มีกิเลสอะไรให้ต้องลดละอีกแล้ว มันไม่มีกิเลสเหลือ จะเห็นนิพพานล้วนๆ
#เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าเราต้องเชื่อพ่อแม่เราต้องรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆแล้ววันหนึ่งเราจะได้มรดกของพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หอบเอานิพพานแล้วหายไปไหนนิพพานยังอยู่เต็มโลกเต็มบริบูรณ์อยู่นี่แหละ คนมีบุญวาสนามีปัญญาแก่รอบ เจริญวิปัสสนาแก่รอบแล้วก็จะได้รับ นี่รางวัลสูงสุดของชีวิตอยู่ตรงนี้ ชีวิตที่เหลือเป็นชีวิตที่อิสระโปร่งเบา ปราศจากความอยาก ความยึดและความดิ้นรนปรุงแต่ง ไม่มีความทุกข์หรือสิ่งใดครอบงำจิตได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น