วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

อารมณ์พระโสดาบัน

ยึดอารมณ์พระโสดาบัน

ยึดหัวหาดให้ได้ นั่นก็คือ
1.สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เรากับคู่ครองของเรา กับลูกหลานเหลน  บุคคลที่เนื่องถึงเราทุกคน ในที่สุดก็ต้องตายหมด รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้ก่อนนะ พร้อมคิดไว้ว่าความป่วยจะต้องมีกับเราและกับเขา ความตายเรากับเขาต้องมีแน่ การพลัดพรากระหว่างเรากับเขาต้องเกิดขึ้นแน่นอน จงอย่าไปคิดว่าเราจะอยู่ร่วมกันตลอดกาลตลอดสมัย เราจะไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย อันนี้ไม่ถูก เราจะไม่แก่ อันนี้ก็ไม่ถูก ความแก่ก็ดี ความป่วยก็ดี ความพลัดพรากจากกันก็ดี มันต้องมีแน่นอน เรากับเขาต้องมีแน่ รวมความว่า คิดไว้มุมเดียวว่า ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี ต้องตาย ทีนี้ความตายมันเกิดขึ้น ทำยังไง เราก็ต้องพร้อมไว้ซิ

เวลานี้ เราอยู่สองคนสามีภรรยา เรามีหน้าที่การงานที่จะต้องทำอะไรขึ้นมาเพื่อความเป็นอยู่ของครอบครัว สมมติไว้เสมอว่าอีกคนหนึ่งเขาตายไป และเราก็ทำงานอย่างนั้นเป็นการทดแทนกัน ให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวมันเป็นปกติ คิดไว้เสมอนะ อย่าไปคิดว่าเขาไม่ตาย ใจมันจะได้สบาย ใช่ไหม ใจจะได้เป็นสุข เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายขึ้นมาจริง โอ...นี่ฉันรู้แล้วว่าจะตาย งานเราก็เตรียมพร้อม เรารู้แล้ว ถ้าเขาตาย ครอบครัวเรา เรากินวันละบาท เมื่อระหว่างที่อยู่ เราทำกันวันละสองสลึงต่อหนึ่งคน ทีนี้เราต้องเตรียมพร้อมทำวันละบาทไว้ก่อน จิตมันก็ไม่เป็นทุกข์ ใช่ไหม นี่รู้ตัวว่าเราจะตาย แต่ว่าตอนนี้แค่รู้ตัวว่าเราจะตาย ถ้าตายคราวนี้ ขึ้นชื่อว่านรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี จะไม่เป็นแดนเกิดสำหรับเรา
เราจะยังตัดความเกิดเฉพาะ
หนึ่ง อย่างเลว เราเป็นมนุษย์
สอง เราเป็นเทวดา
สาม เราเป็นพรหม เราจะวนไปวนมาอยู่แค่นี้
ทีนี้อาการที่จะทำให้เราวนไปวนมา อยู่ระหว่างความเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม จะทำยังไง ตัวนั้นก็คือ ศีล 5 ข้อ สีลัพพตปรามาส เราจะต้องรักษาศีล 5 เป็นปกตินับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จิตใจของเราจะไม่ยอมละศีล จิตใจของเราจะใคร่ครวญศีลอยู่เป็นปกติ เราไม่ยอมบกพร่อง รวมความว่าศีล 5 ข้อ จะเป็นข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม เราจะขาดด้วยเจตนาตั้งใจทำลายนั้น ไม่มี ศีลนี่มันขาดด้วยความตั้งใจทำลายนะ ถ้าบังเอิญไปเหยียบมดตาย ปลวกตายที่เราไม่มีเจตนา นี่เขาไม่ว่านะ คือ ศีลไม่ขาด คือว่าต้องขาดด้วยความตั้งใจทำลาย ถ้าเราไม่ตั้งใจทำลาย ศีลไม่ขาดแน่นอน นี่เราก็รู้ระมัดระวังศีลไว้

ในเมื่อขณะที่เราระมัดระวังศีลไว้ เราก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าศีล เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นมนุษย์ได้ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นสัตว์นรกหรอก คนที่มีศีล 5 จะเกิดเป็นสัตว์นรกก็ดี เป็นเปรตก็ดี เป็นอสุรกายก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี ไม่มีแน่ ถ้าศีลบริบูรณ์ ใครจะถามว่า เมื่อก่อนศีลขาดมาแล้ว เมื่อก่อนไม่ต้องพูดกัน ตัดกันช่วงนี้ เราไม่ยอมละศีล

ถ้า ศีล 5 มันจะทำให้เราเกิดเป็นคน
ศีลข้อที่ 1 จะทำให้เราเกิดเป็นคนสวย เพราะมีเมตตาจิต และก็เป็นคนที่มีอายุยืนยาวครบอายุขัย ร่างกายสมบูรณ์ ไม่มีร่างกายเจ็บป่วย แต่ว่าอาศัยที่เราเคยทำปาณาติบาตมาบ้าง ไอ้โทษปาณาฯ มันจะให้ผลเหมือนกัน ต่อไปในข้างหน้า เราจะมีความป่วยไข้ไม่สบาย

ศีลข้อที่ 2 จะเป็นปัจจัยให้เรามีโภคสมบัติดีมีมาก และก็ทรัพย์สมบัติของเรา ไฟไม่ไหม้ น้ำไม่ท่วม ขโมยไม่ลัก โจรไม่ปล้น แล้วก็ลมไม่พัดให้สลายตัว นี่อำนาจของศีล 5 ถ้าเกิดเป็นคน

ศีลข้อที่ 3 ถ้าหากว่าเรามีคนในปกครอง คนในปกครองจะอยู่ในโอวาทดีที่สุด ไม่มีใครฝ่าฝืนคำสั่งและบุคคลผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนดี

ศีลข้อที่ 4 จะเป็นปัจจัยให้เรามีสัจจะวาจา มีวาจาไพเราะ เป็นที่รักของบุคคลอื่นเป็นที่เชื่อถือของบุคคลผู้ฟัง

เรารักษาศีลข้อที่ 5 ได้ จะช่วยให้เราไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นคนบ้า นี่เราก็รู้อานิสงส์ของศีล

การที่เรามีศีล 5 ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์
1.เราจะอายุยืน การป่วยไข้ไม่สบายมีน้อย มีรูปร่างหน้าตาสวย
2.มีทรัพย์สินสมบูรณ์บริบูรณ์ไม่บกพร่อง ทรัพย์สินไม่มีอันตรายจากกฎธรรมชาติ ไฟมา น้ำมา หรือโจรลัก ไม่มี
แล้วก็ศีลข้อที่ 3 จะเป็นปัจจัยให้คนของเราว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาท
ศีลข้อที่ 4 จะเป็นปัจจัยให้เรามีปากหอม มีคนเชื่อ
ศีลข้อที่ 5 จะทำให้เราเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่เสียสติ ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคบ้า

น่าพอใจไหม นอกจากนั้น การปฏิบัติศีล ก็จะมีอานิสงส์
สีเลนะ สุคติง ยันติ  “ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์”
สีเลนะ โภคสัมปทา “เมื่อเป็นเทวดาหรือพรหมก็มีทิพยสมบัติมาก เกิดเป็นคนก็มีทรัพย์สมบัติมาก”
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ “ศีลเป็นปัจจัยให้เราเข้าพระนิพพาน”
ทำทุกอย่างเพื่อเข้าพระนิพพาน
ทีนี้ในเมื่อเราทรงศีลได้แล้วอย่างนี้ จิตอีกดวงหนึ่งก็ต้องยึด อุปสมานุสสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ นั่นก็คือว่าทำการอย่างนี้ เราทำเพื่อพระนิพพานตัวนี้ให้มันจับไว้เป็นปกติเลย ที่เรารักษาศีลก็ดี ที่เราให้ทานก็ดี เราเจริญภาวนาก็ดี เราไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเขามาชมเชยหรือเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งหมดเราทำเพื่อพระนิพพาน จิตดวงนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ แต่ว่าคุณธรรมเราอยู่ในขั้นของพระโสดาบัน ที่พูดเมื่อกี้นี้เป็นคุณธรรมของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี แต่ว่าอารมณ์อีกดวงหนึ่งเกาะอยู่ในขั้นอารมณ์ของพระอรหันต์ อารมณ์ของพระอรหันต์ก็คือนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าเราทรงศีลบริสุทธิ์
เรานึกว่ามันจะตายแน่ นึกถึงความตายนี่เขาเรียก มรณานุสสติกรรมฐาน
พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี นี่เขาบอกว่ามีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อย แต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์

ถ้าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไร ดูง่ายๆ คือ คนที่รักษาศีลบริสุทธิ์นั่นเอง หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคิดคำนึงว่า เกิดมาเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทีนี้ดีตัวนี้คือ ดีไม่ต้องการเกิด ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ตายไม่มี การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ไม่มี ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์เท่านี้ ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ไม่ไปไหน คนอื่นเขาถาม จะไปได้หรือ ไปได้ไม่ได้ข้าจะไป ใช่ไหม ในเรื่องของกู ไม่ใช่เรื่องของมึง

ตัดอวิชชา
ทีนี้จะไปได้ไหมล่ะ ถ้าจิตเราทรงเป็นความพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์ของเรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตัดไว้เลยตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนี้ ไม่มีสำหรับเราอีก การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเรา เมื่อละจากอัตภาพนี้แล้ว เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน และเราก็มานั่งนึกหาความจริงซิ ว่าไอ้คนที่จะตายเขาไปนรกไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เขาเอาอะไรไปเอาตัวไปหรือเปล่า ไอ้ที่ไปนี่คือใจใช่ไหม ทีนี้ถ้าใจของเราเวลานี้ เรายึดหัวหาดคืออารมณ์พระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด และอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงเฉพาะนิพพาน มันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน ก็รู้แล้วว่าเวลาที่จะไปจริงเอาจิตไป ทีนี้เวลาตายจริงมันไปนิพพานเลย ไม่ยาก

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
มโนปุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา
“ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ”
ใช่ไหม ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วไม่ไปไหน ก็ไปนิพพาน มีเยอะแยะที่ไป เขาทำกันอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวจะต้องเป็นอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้ เพื่อพระนิพพานนี่แหละมันเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ของพระโสดาบัน นี่เรายันนรกไว้ต่างหาก ยามปกติ เราคิดไว้เสมอว่าร่างกายนี้มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา ชาติหน้า กายของเรามันไม่มี ในเมื่อกายของเรามันไม่มี มันมีผัวมีเมียได้ไหม เอาผีเป็นผัว เป็นเมียได้ยังไง นี่ตัวตัดจริงๆ มันอยู่ตัวนี้ เบาๆนะ ไม่ยาก

คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ 44
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) หน้า 90-96

#แอดมิน

ความคิดเห็น

    แสดงความคิดเห็น

    **
     
    *

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น