วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ควรเจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาเมื่อต้องพบกับความไม่เที่ยงของโลก ธรรมะจะช่วยได้อย่างไร พวกเราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดในแผ่นดินที่ดี พวกเรามีสติปัญญาสนใจธรรมะ พวกเราได้ฟังธรรมะ มีบุญนะพวกเรา เหลืออยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม คือมีสติ รู้กายรู้ใจเรื่อยๆไป เรียกว่าปฏิบัติธรรม ถึงวันหนึ่งเราได้มรรคได้ผลขึ้นมา เราจะรู้คุณค่าที่แท้จริงของพระศาสนา รู้เลยว่าไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ถึงจะดีถึงจะวิเศษแค่ไหน เป็นเพียงเครื่องช่วยให้อยู่ในโลกอย่างสบาย มีแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่วยให้เราอยู่เหนือโลกได้ อยู่เหนือโลกมันดีตรงไหน มันดีตรงที่มันพ้นจากความแปรปรวน โลกนี้เต็มไปด้วยความแปรปรวนนะ มีสุขแล้วก็ทุกข์นะ มีสรรเสริญแล้วก็นินทา มีลาภแล้วก็เสื่อมลาภ มียศแล้วก็เสื่อมยศ โลกมันเป็นอย่างนั้น โลกกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงตลอดเวลา โลกไม่เคยสงบสันติที่แท้จริง ยุคใดเรียกร้องสันติภาพมาก แสดงว่ายุคนั้นไม่มีสันติภาพ ยุคใดเรียกร้องเสรีภาพ แสดงว่ายุคนั้นไม่มีเสรีภาพ ยุคใดเรียกร้องความรักความสามัคคี แสดงว่าไม่มีความรักความสามัคคี เห็นไหม โลกมันเป็นอย่างนี้ โลกมันมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความแปรปรวน จะเก่งจะวิเศษยังไงนะ สมมุติว่าเราเรียนเก่งมากเลย แล้วรวยมากเลย ถามว่าเราจะพ้นจากความกระทบกระทั่งของโลกได้ไหม พ้นไม่ได้ เรายังอยู่ในโลก แต่ถ้าเราฝึกจิตฝึกใจของเรา เราปฏิบัติธรรม เรารู้กาย เรารู้ใจ มากเข้าๆ เนี่ย ไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในโลกเนี่ย ใจมันสงบ ใจมันมีสันติสุขอยู่ได้ ทีนี้เมื่อความแก่ความเจ็บความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การเจอสิ่งที่ไม่รัก ความผิดหวังทั้งหลายเกิดขึ้น ไม่ทุกข์หรอก ทุกข์ก็ทุกข์น้อยกว่าคนอื่น มีบางคนนะมาเล่าให้หลวงพ่อฟัง ทำธุรกิจระดับร้อยล้าน อยู่ๆ ไม่นาน ไม่นานมานี้ ไม่กี่เดือนนี้เอง อยู่ๆ แบงค์ไม่ปล่อยเงินให้แล้ว ปล่อยมาตลอดนะ ก็หมุนเวียนทำงาน ทำธุรกิจมาได้เรื่อยๆ อยู่ๆ ก็ไม่ปล่อยแล้ว เพราะแบงค์ฐานะไม่ค่อยจะดี กลัว เกิดกลัวหนี้สูญขึ้นมา ธุรกิจร้อยล้านล้มไปเฉยๆ เลย ไม่มีทุนหมุนเวียน กลับไปอยู่ที่ศูนย์ใหม่ คือไม่มีอะไรเหลือใหม่ แต่คนนี้ยังดีนะ สมัยที่ยังร่ำรวยนี่ศึกษาธรรมะ หัดดูกายดูใจของตัวเองอยู่เรื่อยๆ วันที่ธุรกิจล้มลงไปเนี่ย คิดอย่างหนึ่งนะว่าอยากฆ่าตัวตาย อยากฆ่าตัวตายนะ เสร็จแล้วใจที่มันมีธรรมะมันก็เตือนขึ้นมา ก่อนหน้านี้เราก็ไม่มีอะไร พากเพียรสร้างมันขึ้นมาได้ มันได้มาแล้วมันก็เสียไป โลกมันเป็นอย่างนี้ ไม่ฆ่าตัวตายนะ แล้วอย่างหนึ่งก็มาคิดดูเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ ทำธุรกิจเจ๊งแล้วฆ่าตัวตาย เดี๋ยวเสียชื่อหลวงพ่อ จริงๆ หลวงพ่อไม่ห่วงเรื่องเสียชื่อหรอกนะ แต่ว่าคุยกับมันก็ เอ้อ อย่าไปฆ่านะ เสียชื่อหลวงพ่อ รีบคล้อยตามมันไป เดี๋ยวมันฆ่าตัวตาย ตอนนี้ก็เริ่มตั้งหลักขึ้นมาใหม่ได้แล้ว ล้มแล้วมันก็ลุกได้นะคนเรา ล้มแล้วอย่าให้ใจเราล้มไปด้วย เรามีหลักยึด มีธรรมะไว้ เห็นเลย โลกมันแปรปรวนอย่างนี้แหละ มันสู้ได้ เตรียมตัว เตรียมตัวต่อสู้กับชีวิต ด้วยการมีธรรมะอยู่ในใจเรา อะไรล้มได้นะ สูญเสียได้ ไม่เสียกำลังใจของเรา มีสติมีปัญญารักษาใจไว้ ทำธุรกิจล้มไปก็สู้ตาย สู้ด้วยสติปัญญา เกิดความล้มพลั้งพลาดไป ล้มเหลวไปในชีวิต ทำความผิดพลาดไป ก็ตั้งต้นใหม่ ทำผิดศีล ผิดธรรม มีชู้ มีกิ๊กอะไร ตั้งต้นใหม่ ทำธุรกิจไม่ดี ตั้งต้นใหม่ ขอให้ใจเราดีก่อนก็แล้วกัน ค่อยฝึกไปเรื่อย เสียอะไรก็เสียได้ อย่าให้ใจเราเสีย ให้ใจเรามีธรรมะหล่อเลี้ยงไว้ ธรรมะที่ดีนะ มีศีลไว้ มีใจที่สงบ มีใจที่ตั้งมั่นไว้ อย่าหลงระเริงกับโลกมาก มีสติรู้กายรู้ใจ เจริญปัญญาไป แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ไม่ล้มละลายทางธรรมะ ไม่ล้มละลายทางจิตวิญญาณ ถาม - คนที่อยู่ในเมืองใหญ่หาความสงบได้ยาก ควรจะภาวนาในชีวิตประจำวันอย่างไรดี เมื่อก่อนหลวงพ่อก็อยู่ในเมืองเหมือนพวกเรานี่แหละ อยู่กับแสงสี ภาวนาไปได้ทุกวันๆ ไปอยู่ตามวัดป่า มืดตื๊ดตื๋อเลย ภาวนาไม่ถูกนะ ดูจิตไม่เจอแล้ว มันมืดเกินไป คล้ายๆ ยังกับเราเอาลูกกะตาไปดู จริงๆ เป็นความเคยชิน ตอนภาวนาก็ภาวนาแบบที่พวกเราทำอย่างนี้แหละ มีชีวิตอยู่ที่ไหน เราก็ภาวนาอยู่ที่นั่น หลวงพ่อเกิดในกรุงเทพฯ โตอยู่ในกรุงเทพฯ เรียนอยู่ในกรุงเทพฯ ทำงานในกรุงเทพฯ อยู่ในเมืองมาตลอด เราก็ภาวนาแบบคนในเมือง คนในเมืองเราเช้าขึ้นมาเราก็ตะเกียกตะกายไปทำงาน แย่งกันเดินทาง ทำงานแล้วก็ซมซานกลับบ้าน ใช้คำว่าซมซาน หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ววันๆ หนึ่ง ในภาวะแบบนี้เราจะภาวนาได้ยังไง บุญเหลือเกินนะได้ไปเจอหลวงปู่ดูลย์เข้า ท่านสอนให้ดูจิต การดูจิตมันไม่มีรูปแบบ พิธีรีตองอะไรมากหรอก อยู่ตรงไหนเราก็ดูของเราได้ หลวงพ่อก็ดูตั้งแต่ตื่นนอนเลย ตื่นนอนขึ้นมานะ ความรู้สึกเป็นยังไง ร่างกายเป็นยังไง พวกเราสังเกตไหมเวลาตื่นนอนจิตจะตื่นก่อนร่างกาย ดูออกไหม ใครยังดูไม่ออกนะ แสดงว่าสติยังช้าอยู่ จิตมันตื่นก่อน มันรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน แล้วมันค่อยรู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย บางทีจิตคิดไปตั้งหลายเรื่องแล้ว ร่างกายค่อยปรากฏขึ้นมา นี่ถ้าเราดูจิตชำนิชำนาญนะ ตั้งแต่ตื่นนอนปุ๊บ เราเห็นจิตมันเคลื่อนขึ้นมาจากภวังค์ มันเคลื่อนขึ้นมารับอารมณ์ทางใจ ใจมันเริ่มคิด เรามีสติรู้ทันไป เห็นมันทำงาน มันคิดขึ้นมาเอง อยู่ๆ มันก็คิดขึ้นมา อยู่ๆ มันก็ผุดขึ้นมา ขึ้นมาคิด เสร็จแล้วความรู้สึกมันก็ขยายตัวออกไป กระทบร่างกาย กระทบร่างกายทีแรกมันยังไม่รู้สึกว่าเป็นร่างกายเรา รู้สึกว่าเป็นท่อนอะไรท่อนนึง มานอนกลิ้งๆ อยู่นี่ เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนอะไรอย่างนี้ ยังไม่รู้สึกเป็นตัวเป็นตนอะไร ต่อไปความคิดเกิดอีก ความคิดเกี่ยวกับกายเกิด รู้สึกนี่ร่างกายของเรา นอนอยู่ท่านี้ๆ เนี่ยหัดรู้สึกไว้ตั้งแต่ตื่นนอนนะ เสร็จแล้วมันก็คิดต่อไป วันนี้วันอะไร เราคนในเมืองต้องรู้นี่วันนี้วันอะไร จะได้ไปทำงานหรือไม่ต้องทำงาน วันทำงานแต่ละวันเนี่ยความรู้สึกก็ไม่เท่ากัน รู้สึกไหม พวกนักทำงานกินเงินเดือน ลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือนนะ ต้นเดือน ท้ายเดือน ชนกันบ้างไม่ชนกันบ้างนะ เรื่องธรรมดา ประหยัดหน่อยก็แล้วกัน มนุษย์เงินเดือนนะ มันก็ต้องคอยนับวันแล้วว่าวันนี้วันอะไร จะต้องไปทำงานไหม ตื่นนอนมาวันจันทร์ สังเกตไหม ความรู้สึกของเช้าวันจันทร์กับความรู้สึกของเช้าวันพฤหัสน่ะไม่เหมือนกัน ยิ่งเช้าวันจันทร์กับเช้าวันศุกร์นะความรู้สึกไม่เหมือนกัน วันจันทร์กับวันพุธต่างกันยังไง รู้สึกไหม วันพุธนี่สุดเซ็งเลย วันจันทร์น่ะสุดขี้เกียจนะ ไม่อยากไปทำงาน วันพุธน่ะสุดจะเซ็ง วันอังคารก็เบื่อ วันพฤหัสนะเริ่มกระดี๊กระด๊าขึ้นมาหน่อยๆนะ วันศุกร์กระดี๊กระด๊าเยอะ ทั้งๆ ที่วันแต่ละวันนะเราก็ทำงานเหมือนกันน่ะ แต่ความรู้สึกเราไม่เท่ากัน เราให้ค่าไม่เท่ากัน นี่เราคอยรู้ทันนะ ตื่นนอนมาเราก็รู้ทันใจของเราไป จะขึ้นรถไปทำงาน เราก็รู้ทันใจของเรานะ จะอาบน้ำ จะกินข้าว จะขับถ่าย ก็รู้ทันใจของตัวเอง บางคนก็คิดผิดๆนะ ว่าอยู่ในห้องน้ำ ห้ามภาวนา เอาเยี่ยงเอาอย่างที่ไหน พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน ว่าอยู่ในห้องน้ำภาวนาไม่ได้ บาปกรรม การภาวนาเป็นการทำความดี ภาวนาที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ ส่วนการทำความชั่วนะ ถึงไปทำอยู่ในโบสถ์มันก็ชั่วแหละ มันไม่เกี่ยวกับสถานที่หรอก อย่างเวลาเราขับถ่าย สังเกตไหม เวลาท้องผูกรู้สึกยังไง ท้องผูกแล้วถ่ายได้ รู้สึกยังไง เห็นไหม ความรู้สึกมันไม่เหมือนหรอก เปลี่ยนตลอดเลย เนี่ยให้เราคอยรู้ความรู้สึกของเรานะ ที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีการกระทบอารมณ์ทางตา ความรู้สึกก็เปลี่ยน กระทบอารมณ์ทางหู ทางลิ้น ทางจมูก ทางกาย ทางใจ ความรู้สึกก็เปลี่ยนตลอดเวลา ทางใจเช่นมันคิด คิดเรื่องนี้ความรู้สึกอย่างนี้ คิดเรื่องนี้ความรู้สึกอย่างนี้ การหัดดูจิตดูใจในเบื้องต้นเรายังดูไม่ถึงจิตหรอก เบื้องต้นให้คอยรู้ความรู้สึกไปก่อน ในการเดินปัญญานะ จะต้องหัดแยกธาตุแยกขันธ์ไปเรื่อย ความรู้สึกไม่ใช่จิต เป็นอีกขันธ์หนึ่ง ถ้าความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์นี่เขาเรียกว่า "เวทนาขันธ์" ถ้าความรู้สึกที่เป็นกุศลที่เป็นอกุศลทั้งหลาย อะไรพวกนี้ เขาเรียก "สังขารขันธ์" คนละขันธ์กัน เพราะฉะนั้นความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจนะ เราคอยรู้ไป ถ้าเกิดขึ้นในกาย รู้ที่กายได้ชัดก็รู้ที่กาย ความรู้สึก เช่น ยุงกัดแล้วเจ็บ รู้ว่าเจ็บ เห็นร่างกายมันเจ็บ เห็นความเจ็บเป็นส่วนหนึ่งจากร่างกาย กายกับความเจ็บเป็นคนละอันกัน จิตที่เป็นคนรู้ว่ามันมีความเจ็บเกิดขึ้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ต้องหัดอย่างนี้นะ การเดินปัญญานั้นจะต้องแยกธาตุแยกขันธ์เรื่อยไป ลำพังภาวนาให้จิตสงบนะมันตื้นเกินไป ไม่มีพระพุทธเจ้าเขาก็สอนกันได้ สอนสมาธิ แต่สมาธิเป็นสิ่งที่ควรทำนะ มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม ถึงท่านไม่ใช่เป็นต้นบัญญัติการทำสมาธิ แต่ท่านก็เห็นว่ามีประโยชน์ ท่านก็ให้ทำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น