วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมมุติ วิมุติสมมุตินะ มุติตัวนี้ คือ มติ “สมมุติ” ก็คือ มติร่วมกัน ความเห็นร่วมกัน ความเข้าใจร่วมกัน ความรู้ร่วมกัน เช่น สมมุติร่วมกันขึ้นมาอย่างที่เรียกว่า ผู้หญิง ผู้ชาย เรียกหมา เรียกแมว เรียกคน สมมุติขึ้นมา มุติตัวนั้นแปลว่าความรู้ “วิมุตติ”นะ มุตติ แปลว่าหลุดพ้น คนละรากศัพท์กันนะ มติ กับมุตติ คนละรากศัพท์ เนี่ยบางทีเราก็มั่วๆเอา พ้นสมมุติก็ถึงวิมุตติ สมมุติพ้นไม่ได้นะ พ้นสมมุติล่ะบ้าเลย ยกตัวอย่าง ไม่รู้ว่านี่ผู้หญิง นี่ผู้ชาย ชักเพี้ยนแล้วใช่มั้ย พระอยู่กับสมมุติมั้ย ถ้าไม่มีสมมุตินะ ลูบหัวผู้หญิงก็ได้ ลูบหัวผู้ชายก็ได้ สมมุติไม่ได้มีเอาไว้พ้นนะ สมมุติมีเอาไว้เข้าใจ มีไว้ใช้สื่อสารกับคนอื่น ส่วนอารมณ์ปรมัตถ์หรือสภาวธรรมเนี่ย เราต้องเรียนรู้มัน เรียนรู้จนเห็นความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งลึกลงไปแล้วมันก็คือ สภาวธรรม เนี่ยความคิดมันขึ้นมาปิดบัง เราสร้างสมมุติขึ้นมาปิดบัง ยกตัวอย่าง เราไม่เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวเราจริงๆมันไม่มี มันเป็นขันธ์ ๕ ตัวขันธ์ ๕ ก็คือ จิต เจตสิก รูป นี่เอง ตัว ‘รูป’ ก็คือ ตัวรูปขันธ์ ‘เจตสิก’ ก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร ตัว ‘จิต’ ก็คือตัววิญญาณ ในขันธ์ ๕ ก็คือ จิต เจตสิก รูป นั่นแหละ หน้าที่ของเราคือเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไปจนเห็นว่า จริงๆไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แต่บัญญัติขึ้นเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นเรา เป็นเขา โดยสมมุติเอา นี่คนทั้งหลายเคยชินกับสมมุติ จนไม่เห็นความจริง เรามาเรียนเพื่อให้เห็นความจริง เรียนก็ต้องเรียนให้ถึงตัวสภาวะจริงๆ ไม่ใช่นั่งคิดเอานะ ว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีเรา ไม่มีเขา บางทีก็คิดถึงนิพพาน นิพพานเป็นความว่าง ความว่างที่พวกเรารู้จัก ความว่างที่ไม่ใช่พระอริยะเห็นเนี่ยนะ เป็นความว่างที่ไม่ใช่ของจริงหรอก เป็นความว่างที่คู่กับความวุ่น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น