วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับทั้งเทวโลกก็ดีย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุดังนี้ จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ ผู้มีปรีชาญาณเห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระพุทธเจ้า จะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตายจึงจะไม่แลเห็น คือจักไม่ตามทัน พระเจ้าข้า ” ( ใจความของปัญหาข้อนี้ ก็คือจะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตายจึงจะไม่แลเห็น คือตามไม่ทัน ) พระบรมศาสดา ตรัสพยากรณ์ว่า “ ดูก่อนโมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาดูโลกโดยเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล้ว มัจจุราชคือความตายจักไม่แลเห็น ” เมื่อพระบรมศาสดา ตรัสพยาการณ์ปัญหาของโมฆราชมาณพจบลงแล้วโมฆราชมาพพร้อมทั้งด้วยชฎิลทั้งหมดได้บรรลุพระอรหัตผลสิ้นอาสาวกิเลสทุกคนเว้นแต่ปิงคิยมาณพผู้เดียว เพราะมัวแต่คิดถึงอาจารย์พราหมณ์พาวรีผู้เป็นลุง จึงได้เพียงญาณหยั่งเห็นในธรรมเท่านั้น มาณพทั้ง ๑๖ คน กราทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ประทานด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ได้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พร้อมบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ ส่วนพระปิงคิยเถระกราบทูลลากลับไปแจ้งข่าวแก่พราหมณ์พาวรี ให้บรรลุธรรมาพิสมัยชั้นแสขภูมิ พระโมฆราชนั้น เมื่ออุปสมบทแล้วแล้วปรากฏว่าท่านเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ยินดีเฉพาะการใช่สอยจีวรที่เศร้าหมอง ๓ ประการ คือ ๑. ผ้าเศร้าหมอง ๒. ด้ายเย็บผ้าเศร้าหมอง ๓. น้ำย้อมผ้าเศร้าหมอง ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้ยินดีในจีวรเศร้าหมอง ท่านพระโมฆราชเถระ ดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น