วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561

คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ ปลอดภัยดี

เป็นพระโสดาบัน คล้ายเด็กหลงทาง ที่รู้แล้วว่าบ้านอยู่ที่ไหน แต่ยังกลับไม่ถึงบ้าน เรารู้นะว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน รู้แล้วว่าพ่อแม่เราคือใคร รู้ว่าพี่น้องเรามี คือบรรดาพระอริยเจ้าทั้งหลาย แต่ว่าเรายังกลับไม่ถึงบ้าน เราก็จะเกิดความพากเพียรนะมุ่งมั่น ศรัทธาของเราคราวนี้จะแน่นแฟ้นนะ ไม่คลอนแคลน ละ เราก็ขยันภาวนา ไปเรื่อย บางคนก็ใช้เวลานานหน่อย นะอินทรีย์ไม่แก่กล้าใช้เวลา 7 ชาติ 7 ชาติสั้นนิดเดียวนะ เราเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วน บางคนก็สองสามชาติ บางคนก็ชาติเดียว ภาวนาไปเรื่อย เรื่อย สุดท้ายมันก็ถึงบ้าน ถึงบ้านแล้วโฮ้ย หาบ้านแทบตาย บ้านอยู่ที่นี่เอง หาซะรอบจักรวาล อยู่ที่จิตที่ใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมานี่เอง จะพบพระพุทธเจ้าตัวจริงนะ เราจะพบว่าพระพุทธเจ้ามีจริงจริง แต่ว่าไม่ใช่เป็นพุทธเจ้าที่ไปนั่งเข้าแถว นั่งสมาธิอะไรอย่างนั้นนะ หรือบางสํานักก็นั่งเก้าอี้ พุทธเจ้านั่ง บางสำนักก็นั่งสมาธิ กระดุกกระดิกไม่ได้ด้วย เหมือนรูปปั้น ไม่ใช่หรอก อะไรที่ยังเป็นรูปเป็นนามอยู่ไม่ใช่นิพพานนะ เป็นรูปเป็นนามไม่ใช่นิพพาน นิพพานเป็นสภาวะที่สิ้นตัณหา สิ้นทุกข์สิ้นขันท์ แต่ว่ามีไหมสภาวะนั้น มี ก็สภาวะที่สิ้นทุกข์สิ้นขันท์สิ้นตัญหา นั้นแหละ นะ เวลาที่ตายธาตุขันท์นี้แตก พลังงานที่มีอยู่ทิ้งไว้ในโลกนะ ส่วนอมตะธาตุ อมตะธรรมรวมเข้ากับพระนิพพานไป พระนิพพานไม่เพิ่มขึ้นไม่ลดลงเทศเยอะไปละ พวกเรา เริ่ม ตา แป๊ว แป๊ว แล้ว ยากไป ฟังไว้ก่อนนะ แล้วก็ขยันภาวนา ทำให้ถูก สิ่งที่ผิดมี 2 อันเองไม่ตึงไป ก็หย่อนไป ตึงไปก็เพราะโลภ หย่อนไปเพราะขี้เกียจ เพราะหลงโลก ตึงไปก็เพราะโลภมาก อยากดี อยากพ้นทุกข์ก็แค่นี้แหละ ถ้ารู้เท่าทันจิตใจ ตอนนี้ตึงไป รู้ทัน ตอนนี้หย่อนไป รู้ทัน มันก็เข้าทางสายกลาง เมื่อไหร่ไม่ผิดเมื่อนั้นก็ถูก ถ้าถูกแล้วมันก็เดินของมันไปเรื่อยๆ นะ แต่ละวัน บางช่วงก็เจริญบางช่วงก็เสื่อม แต่ภาพรวมแล้ว เราจะเติบโตขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งมันมีกำลัง ข้ามภพไปหลวงพ่อจะบอกแลนด์มาร์คที่สำคัญไว้นะ แลนด์มาร์คที่สำคัญก่อนที่จะเกิดอริยมรรคนี่ จิตจะเกิดปัญญาชนิดหนึ่ง เรียกว่า "สังขารุเบกขาญาณ"สังขารุเบกขาญาณ ญาณ แปลว่าปัญญา มีปัญญาที่จะเป็นอุเบกขา เป็นกลางต่อสังขาร อะไรที่เรียกว่า สังขาร ความปรุงแต่งทั้งปวงเรียกว่าสังขาร ร่างกายก็เป็นสังขารนะ ความสุข ความทุกข์ ก็เป็นสังขาร ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เป็นสังขาร อะไรๆ ก็เป็นสังขาร ในขันธ์ 5 นี่แหล่ะ คือ ตัวสังขารทั้งหมด ถ้าเราค่อยๆ ฝึกตามดูไปเรื่อย มีสติตามดูไป เราจะเห็นเลย ร่างกายที่หายใจออกก็อยู่ชั่วคราว ร่างกายที่หายใจเข้าก็อยู่ชั่วคราว ความสุขก็อยู่ชั่วคราว ความทุกข์ก็อยู่ชั่วคราว จิตที่เฉยๆ ก็ชั่วคราวมีใครไม่สุขชั่วคราวไหม มีไหม สุขถาวรมีไหม ไม่มีหรอก ใครทุกข์ถาวรมีไหม ใครทุกข์ถาวร ไม่มี นี่เรามีสติตามดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไปนะ เราจะเห็นเลย สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว โลภ โกรธ หลง ก็ชั่วคราว

ดูไปเรื่อยนะ ในที่สุดปัญญามันเกิด ก็จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว พอเมื่อไหร่ที่จิตมันเห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว จิตก็จะเริ่มเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น