เวลาโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น ก็ไม่ใช่ไปเกลียดมัน และไม่ได้ถูกมันครอบงำ คนทั้งหลาย พอความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นแล้ว จิตก็จะถูกกิเลสเหล่านี้ครอบงำ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น เรามีสติรู้ทัน มันจะกระเด็นหายไปต่อหน้าต่อตา หายในขณะนั้นเลย ไม่ต้องทำอะไร สักอย่างเดียวเลย ทันทีที่สติเกิด อกุศลดับทันทีเลย นี่เป็นกฎของธรรมะ เป็นกฎธรรมดา “ที่ใดมีสติที่นั่นไม่มีกิเลส ที่ใดมีกิเลสที่นั่นไม่มีสติ” ถ้างั้นเมื่อไรเรามีสติขึ้นมา เรารู้ทันว่าความโกรธกำลังเกิด ไม่ต้องทำอะไรหรอก ความโกรธจะกระเด็นหายไปต่อหน้าต่อตา ความโลภ ความหลงจะกระเด็นหายไปต่อหน้าต่อตา ความทุกข์ทางใจก็จะกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา เพราะความทุกข์ทางใจเกิดร่วมกับความโกรธเสมอ เกิดร่วมกับโทสะเสมอ แต่ความสุขทางใจ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็เป็นอกุศล อย่างเวลาที่จิตมีราคะบางทีก็มีความสุข งั้นถ้าเป็นความสุขอันเกิดจากราคะ มีสติรู้ทันราคะ ราคะดับ บางทีความสุขนี้ก็ดับไปด้วย แต่ถ้าเป็นความสุขในทางบวก ความสุขจากการทำความดี เป็นความสุขจากกุศลพอมีสติรู้ทันมันไม่ดับ ไม่จำเป็นต้องดับทันทีหรอก แต่มันก็เกิดดับร่วมกับจิต ดับปุ๊บ มันก็เกิดขึ้นอีก ดับปุ๊บก็เกิดขึ้นมาอีก มีความสุขเหมือนมีความสุขที่ยาวขึ้นมา ไม่ได้ดับทันทีเหมือนความสุขความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ความทุกข์ เจือด้วยกิเลสตลอด ความทุกข์ทางใจ แต่ความสุข เป็นกิเลสก็มีเจือกิเลสก็มี ไม่เจือกิเลสก็มี อย่างใจของเราคิดถึง พระพุทธเจ้า เราสวดมนต์ เรามีสมาธิอะไรอย่างนี้ มีความสุข พวกนี้เรามีสติรู้ไม่หาย แต่ถ้าเรามีความสุขจากราคะ พอมีสติรู้ทันราคะ พวกราคะดับปุ๊บ ความสุขตัวนี้ก็หายไปด้วย และความสุขความทุกข์ทางกาย เรามีสติรู้มันจะดับมั๊ย มันไม่เกี่ยวกัน ความสุขความทุกข์ทางกายเป็นเรื่องของวิบาก เป็นเรื่องของวิบากไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่กิเลสไม่ได้เกิดร่วมกับกิเลสด้วย แต่มันเป็นผล เป็นตัววิบาก และอย่างเจ็บไข้ได้ป่วย มีสติ มันจะหายป่วยมั๊ย ไม่หาย คนละเรื่องกันเห็นมั๊ย ร่างกายสุขภาพแข็งแรงอยู่ไม่มีสติแล้ว จะอ่อนแอปวกเปียกไปเลยมั๊ย ไม่เป็น งั้นทางกายไม่เกี่ยว เกี่ยวแต่ทางใจ ถ้าความสุขเจือด้วยราคะ ถ้ามีสติปุ๊บมันจะหายไปเลย ถ้าความทุกข์อันนี้เจือด้วยโทสะแน่นอน ทันทีที่รู้ทันมันจะดับสนิททันทีเลย
งั้นใจเรา ถ้าพอมีสติเรื่อยๆ จะไม่มีความทุกข์ทางใจ ในขณะที่เรามีสติอยู่จะมีความทุกข์ทางใจไม่ได้ เพราะไม่มีโทสะแต่ว่ามันไม่มีความทุกข์ เพราะอาศัยสติ เมื่อไรขาดสติความทุกข์ก็กลับมาอีก เราต้องพัฒนาคุณภาพจิตใจของเราต่อไป ไม่ใช่มีแค่สติ สติแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้นไม่ได้แก้รากฐานของปัญหา สติคล้ายๆ พาราเซตามอล พอกิเลสเกิดสติรู้ทันกิเลสก็หาย เดี๋ยวกิเลสก็มาอีก
งั้นต้องพัฒนาจนถึงขั้นที่ฆ่ามันด้วยโลกุตตระปัญญา ฆ่ามันด้วยมรรคมันถึงจะตายสนิทไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกละ หัดเจริญสติ เจริญปัญญาเรื่อยไป ดูในกายมีแต่ความทุกข์ ดูที่ใจมีแต่ของไม่เที่ยง และก็มีความบังคับไม่ได้ในใจเรา แสดงการบังคับไม่ได้อยู่เด่นชัดมากเลย สั่งให้สุขมันก็ไม่ยอมสุข ห้ามทุกข์มันก็จะทุกข์ สั่งให้ดีมันก็ชั่ว ห้ามชั่วมันก็ชั่ว สุดท้ายมันก็เลยชั่วอยู่นั่นแหละ สั่งให้ดีมันก็ชั่ว ห้ามชั่วมันก็ชั่ว ส่วนใหญ่ก็เลยชั่วอยู่นั่นแหละ รู้สึกมั้ยวันหนึ่งๆ อกุศลมากกว่ากุศลนึกออกมั๊ย ถ้าเฝ้ารู้ไปก็จะเห็นกาย เป็นตัวทุกข์ชัดเจน จิตใจเป็นอนิจจังอนัตตา ชัดเจนสั่งมันไม่ได้และก็เปลี่ยนรวดเร็วมาก ร่างกายดูเป็นอนิจจังยากนิดหนึ่ง ถ้าไม่ทรงฌาณจริงๆ ดูยากมากเลย เพราะว่ารูปร่างมันอายุยืน แต่นามธรรมนั้นอายุมันสั้น ความรู้สึกเรา เปลี่ยนเร็ว หน้าตาเราเปลี่ยนช้ากว่าความรู้สึกนึกออกมั๊ย และหน้าเราเปลี่ยนตามความรู้สึกบ้างมั๊ย เปลี่ยนนะ ถ้าภาวนาพอจิตตื่นหน้าสว่างเลย ใครรู้สึกตัวบ้างว่าหน้าตาผ่องใส สว่าง หรือหน้าเหมือนลิงเหยียบอยู่อย่างนั้น รูปบางทีก็เปลี่ยนไปเพราะจิตสั่ง จิตมันเปลี่ยนรูปก็เปลี่ยน รูปบางอย่างก็เปลี่ยน รูปบางอย่างเปลี่ยนไปเพราะสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนรูปก็เปลี่ยนก็มี เปลี่ยนไปเพราะกรรมก็มี กรรมตัดรอน แข็งแรงอยู่ดีดี เป็นมะเร็งป่วยไปก็มี งั้นรูปเปลี่ยนแปลงไปได้หลายอย่าง เปลี่ยนแปลงเพราะอาหารก็ได้ กินอาหารไปเรื่อยๆ รูปก็เปลี่ยน อดอาหารไปเรื่อยๆ รูปก็เปลี่ยนอีก งั้นรูปเปลี่ยนแปลงได้หลายอย่าง จิตใจจองเราก็เปลี่ยนเรื่อยพอรู้สึกไปในที่สุดจะเห็น
พอเราไม่ลืมกายลืมใจ รู้สึกกายรู้สึกใจบ่อยๆ มีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวบ่อยๆ สุดท้ายก็จะเห็นความจริงร่างกายนี้ไม่น่ารักหรอกเป็นทุกข์ จิตใจนี้ควบคุมไม่ได้ มีแต่ของไม่เที่ยง ความจะหลงยินดีในความสุข ความเกลียดชังในความทุกข์ ความหลงยินดีในกุศล ความเกลียดชังในอกุศลก็หายไป จิตเข้าสู่ความเป็นกลางเหมือนที่ดูรูป
สุดท้ายก็จะเข้าสู่ความเป็นกลาง ดูจิตใจสุดท้ายก็เข้าสู่ความเป็นกลางเหมือนกัน เพราะหนีไม่ได้ พอใจเข้าถึงความเป็นกลาง ใจจะหมดความดิ้นรน เมื่อใจหมดความดิ้นรน จิตจะรวมลงเข้าอัปนาสมาธิด้วยตัวของมันเอง ชาตินี้เราไม่เคยเข้าสมาธิลึกขนาดอัปนาสมาธิเลยก็ไม่เป็นไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น