วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ ปลอดภัยดี

ถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลยจิตมันแส่ส่ายออกทางตาหูจมูกลิ้น­­กายมีแต่ทุกข์จิตไม่แส่ส่าย พอจิตไม่แส่ส่ายจิตก็หลุดออกจากกามภูมิ เข้ารูปภูมิหรืออรูปภูมิ เข้าเองเลยเพราะงั้นพวกเราหัดเจริญสติไปเร­­ื่อย พอศีลสมาธิปัญญา สติสมาธิปัญญาแก่รอบนะจิตจะหมดความหลงไหลร­­ูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลายมาดึงดูดจ­ิ­ตไหลไปไม่ได้แล้ว

อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นแหละ
ถ้าจิตมันตั้งมั่นรู้ไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้งเด่นดวงอยู่ จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ
เพราะงั้นถึงเราจะเจริญสติเจริญปัญญาโดยเข­­้าฌานไม่เป็น
ถึงนาทีสุดท้ายที่จะเกิดอริยมรรคอริยผลในท­­ุกขั้นตอน
ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตมรรคเนี่ย จิตจะเข้าฌานของเค้าเอง
ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิดอริยมรรคไม่ต้องถอยออกมาอยู่­­ในโลกก่อนนะ
ไม่ต้องกลับมาอยู่กามภูมิก่อนนะ จิตเค้าจะตัดอยู่ข้างในได้เลย นี่เป็นพวกหนึ่ง
แต่รวมความก็คืออริยมรรคไม่เกิดอยู่ในจิตท­­ี่อยู่ในกามอย่างพวกเรา
อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภ­­ูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้นจิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที­­่จิตนะไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง
จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ
ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต
เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต
ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ
ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร
ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร
จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง
ถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว
ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะ
ความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง
พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้
ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ มันเป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง
พอจิตดวงเก่ามันดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมันดับไป
มันทวนกระแสเข้าหาจิตที่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา
ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้นะ คาบลูกคาบดอก
ไม่ได้เกาะขันธ์แล้วนะ แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตะธาตุอมตะธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน
ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก
มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ
ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต
ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน
ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน
ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร
แสดงน้อยลง
สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์
คำอ่านอักษรโรมัน

BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI
DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI
SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI

GHABADAE JAB MAN-ANAMOL HRIDYA HO UTHE ḌAṆVAḌOL.

GHABADAE JAB MAN-ANAMOL AUR HRIDYA UTHE HO ḌAṆVAḌOL.
HO TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI
DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI
SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI

JAB AṢANTIKÃ RAG UTHE LÃLLAHUKÃ̃ PHAG UTHE.
HINSÃ KI TO ÃG UTHE MÃNAV MEṆ PAṢU JAG̣ UTHE.
UPARASE MUSAKÃ TE NAN BHITÃR DAHAKA RAHE TO HO.
HO TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI
DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI
SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI.

(BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI)

JAB DUNIYÃN SE PYAR UTHE.

JAB DUNIYÃN SE PYAR UTHE .
NAPHARAT KĨ DĨVÃR UTHE.
MÃN KI MAMATÃ PAR USKĨ BEṬEKI TALAVÃR UTHE.
DHARATĨ KĨ KÃYÃKÃPE AMBAR DAGMAG UTHE DOL .
HO TAB MÃNAV TO MUKHASE BOL.
BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL.
BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.

BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI.
SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI.

DŨR KIYÃ JISANE JANAJANAKE VYÃKULMANAKÃ ANDHIYÃRÃ JISAKI
EKA KIRNAKO CHŨKAR CAMAK UTHÃ YE JAGA SÃRÃ..

DĨPA SATYAKÃ SADÃ JALE.
DAYÃ AHIṂSA SADÃ PALE.
SUKHAṢANTI KĨ CHAYAM MEṆ JAN GAṆA MANAKÃ PREM PALE.
PHÃRAT KE BHAGAVAN BUDDHAKÃ GŨÑJE GHARGHAR MANTRA AMOL.
HE MÃNAV NITA MUKHASE BOL.
BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
HE MÃNAV NITA MUKHASE BOL.
BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.

BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI.
DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI.
SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI.


คำอ่านอักษรไทย

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ.

ฆพฑาเอ ชพฺ มนฺ-อนฺโมลฺ หฺริทย โห อุเธ ฑาณฺวาโฑลฺ.

ฆพฑาเอ ชพฺ มนฺ-อนฺโมลฺ ออุรฺ หฺริทย อุเธ โห ฑาณฺวาโฑลฺ.
โห ตพฺ มานวฺ ตุ มุขเส โพลฺ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ฮี ตพฺ มานวฺ ตุ มุขเส โพลฺ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ.

ชพฺ อศานฺติกา รคฺ อุเธ.
ลาลฺลหุกา ภคฺ อุเธ. หินฺสา กี ตุ อาคฺ อุเธ.
มานวฺ เมญฺ ปศุ ชคฺ อุเธ.
อูปรเส มุสกา เตนนฺ ภิตารฺ ทหก รเห ตุ โห.
โห ตพฺ มานวฺ ตุ มุขเส โพลฺ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ฮี ตพฺ มานวฺ ตุ มุขเส โพลฺ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ.

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ชพฺ ทุนิยานฺ เส ปฺยารฺ อุเธ.

ชพฺ ทุนิยานฺ เส ปฺยารฺ อุเธ.
นผรตฺ กี ทีวารฺ อุเธ.
มานฺ กี มมตา ปารฺ อุสกี เพเตกี ตลวารฺ อุเธ.

ธรตี กี กายากาเป อมฺพรฺ ทคฺมคฺ อุเธ โทลฺ.
โห ตพฺ มานวฺ ตุ มุขเส โพลฺ
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ฮี ตพฺ มานวฺ ตุ มุขเส โพลฺ
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ.

ทูรฺ กิยา ชิสเน ชนชนเก วฺยากุล มนกา อนฺธิยารา
ชิสฺสกี เอกกีรณโก ฉูกรฺ จมกฺ อุธา เย ชค ศารา.

ทีป สตฺยกา สทา ชเล.
ทยา อหึสา สทา ปเล.
สุขศานฺติ กี ฉยมฺ เมนฺ ชนฺ คณ มนกา เปฺรมฺ ปเล.
ภารตฺ เก ภควนฺ พุทฺธกา คูญเช ฆรฺฆรฺ มนฺตร อโมลฺ.
เห มานวฺ นิต มุขเส โพลฺ.
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
เห มานวฺ นิต มุขเส โพลฺ.
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ.


การแปลเป็นภาษาบาลี

เป็นการแปลเทียบเคียงภาษาเดิม อาศัยเคยศึกษาภาษาบาลี ตำราภาษาสันสกฤต และ ปรากฤต มาบ้าง ก็พอรู้เรื่อง ไม่ได้เก่งกาจอะไร รากศัพท์คล้ายกันมากเกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พยายามรักษาศัพท์เดิม และรูปแบบการเดินประโยคไว้ แต่ไม่ให้เสียลักษณะภาษาบาลี ผู้รู้อ่านเจอที่ไม่ถูกต้อง กรุณาท้วงติงนะครับ จะเป็นพระคุณมาก ยักย้ายถ่ายเท แก้ไขได้ตามถนัด ถือว่า ผมอาสานำร่องเอาไว้ เพื่อให้บัณฑิตผู้มาภายหลังได้ตกแต่งอีกที ขอบพระคุณครับ

ภายเต ยทา มนุสฺสเสฏฺฐโก หทยสฺส อุเทติ ฉมฺภิตตฺตํ.
ภายเต ยทา มนุสฺสเสฏฺฐโก อถวา หทยสฺส อุเทติ ฉมฺภิตตฺตํ.
ตทา เห มนุสฺโส มุขสา ปาเฐตุ “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"
ตทา เห มนุสฺโส มุขสา ปาเฐตุ “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"

"พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ”.

ยทา อสนฺติโก ราโค อุเทติ.
ภูมิยา รตฺตโลหิเตน นหาปยิตฺวา อุทยเต.
หึสาย อคฺคิ อุเทติ.
มนุโน วา ปสุโน วิย มโน อุเทติ.
มุทุกหสิตมุขสฺส อพฺภนฺตเร ฑหเกน ฑยฺหติ.

ตทา เห มนุสฺโส มุขสา ปาเฐตุ “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"
ตทา เห มนุสฺโส มุขสา ปาเฐตุ “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"

"พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ”.

ยทา เปมํ โลกโต ปริหายิตฺวา อุเทติ.
ยทา เปมํ โลกโต ปริหายิตฺวา อุเทติ
กรุณา จ โลกโต ปริหายิตฺวา อุเทติ.
มนุสฺโส สมาตุยา มมฺมตํ เฉตฺวา อุเทติ
ธรณี วา อมฺพรํ วา คคายิตฺวา อุเทติ.

ตทา เห มนุสฺโส มุขสา ปาเฐตุ “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"
ตทา เห มนุสฺโส มุขสา ปาเฐตุ “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"

"พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ”.

ทูรกโต ชนตาย วฺยากุลมนโส อนฺธกาโร เยน
ยสฺส อากิณณานํ รสมีนํ เอกสฺมึ ผุสิตฺวา ปภาสิโต สพฺโพ ชโค.

ตสฺสานุภาเวน ทีโป สจฺจํ สทา ชลตุ.
ทยา อหึสา สทา ปาเลตุ.
สุขสนฺติยา ฉายายํ มนุสฺโส มานุกสฺส เปมํ ปาเลตุ.
ภารติยา จ ภควโต พุทฺธสฺส คชฺชตุ ฆเร ฆเร มนฺตเสฎฐโก .
เห มนุสฺโส นิจจํ มุขสา ปาเฐตุ “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ"

"พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ”.

คำแปลภาษาไทย เป็นการแปลเอาความหมายโดยอรรถ แต่ไม่ทิ้งรูปแบบ
ภาษา โดยเทียบภาษาเดิมและบาลี

เมื่อใดแล เหล่ามนุษย์ผู้ถือตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ได้เกิดความหวาดกลัว เกิดหัวใจสะดุ้งหวั่นไหว
เมื่อใดแล เหล่ามนุษย์ผู้ถือตนว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ได้เกิดความหวาดกลัว หรือว่า เกิดหัวใจสะดุ้งหวั่นไหว
เมื่อนั้น ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” ไว้เถิด
เมื่อนั้น ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” ไว้เถิด

เมื่อใดแล เกิดความมัวเมาอันเป็นเหตุแห่งความไม่สงบวุ่นวาย
พื้นแผ่นดินไหลอาบนองแดงฉานไปด้วยเลือด
เปลวไฟแห่งความมุ่งร้ายเบียดเบียนแผดเผากระจายไป
จิตใจของมวลหมู่มนุษย์กลับกลายไปเป็นดั่งเดรัจฉาน
มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ภายในแผดเผาเร่าร้อน

เมื่อนั้น ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” ไว้เถิด
เมื่อนั้น ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” ไว้เถิด

"พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ"

เมื่อใดแล ความรักเมตตาแห้งเหือดหายไปจากโลก
ความกรุณาสงสารก็แห้งเหือดหายไป
คนทั้งหลายเชือดเฉือนสายใยแห่งความรัก แม้ของมารดาตนเอง
เกิดผืนแผ่นดินเลื่อนลั่น ฟ้าสั่นไหว

เมื่อนั้น ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” ไว้เถิด
เมื่อนั้น ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” ไว้เถิด

"พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ"

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดแล
ผู้ทรงขจัดเสียซึ่งความมืดมิดภายในจิตใจที่เร่าร้อนของปวงประชา
มวลหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้พบหนทางแสงสว่าง
เพียงแค่ได้สัมผัสเส้นใยแห่งรัศมีที่แผ่ออกมาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด

ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ขอพระสัทธรรมอันเป็นที่พึ่งพิง ขออริยสัจจ์คือความจริง จงเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน

ขอมวลหมู่มนุษย์จงเห็นอกเห็นใจเกื้อกูลเอ็นดูกันเถิด

ขอหมู่มนุษย์จงทนุถนอมความรัก ความเยื่อใยของมนุษย์ด้วยกัน อยู่อย่างร่มเย็นสันติสุขเถิด

ขอบทแห่งมนต์อันประเสริฐ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวภารตะ (อินเดีย)
จงกระหึ่มกังวานไปในทุกครัวเรือน

เพื่อนมนุษย์เอ๋ย ขอให้ท่าน จงหมั่นเปล่งคำว่า "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ" ไว้บ่อย ๆ เถิด

"พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ”



จิรํ ติฏฐตุ สทฺธมฺโม ขอพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงดำรงอยู่ชั่วกาลนาน

ไวโรจนมุเนนทระ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น