วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

เราเห็นแสงไฟแล้ว

เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพ่อแม่ เราต้องรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราจะได้มรดกของพระพุทธเจ้า กิเลสไม่กลัวคนที่ต่อสู้กับมันจริงจังหรอก กิเลสกลัวคนที่รู้ทันมัน ยิ่งเราเกลียดมันนะ โดดเข้าไปชกกับมันนะ มันยิ้มหวานเลย หลงกลกิเลสทุกตัวทำหน้าที่อันเดียวกัน หลอกให้เราเลิกรู้สึกตัว พอโทสะเกิดเราก็ไปดูคนที่เราโกรธ ลืมดูว่าจิตมีโทสะ พอโลภะเกิดเราก็ไปดูคนที่เรารัก ลืมรู้ว่าโลภะกำลังเกิด ใจลอยไปหรือสงสัย ความสงสัยเกิดขึ้น คิดหาคำตอบใหญ่เลย ลืมรู้ว่ากำลังสงสัยอยู่ โลภะโทสะโมหะทำหน้าที่เดียวกัน (คือ)หลอกให้เราเลิกรู้สึกตัว มันกลัวมากว่าเราจะรู้ทันถึงจิตถึงใจตัวเองกิเลสเนี่ยซ่อนอยู่ในจิตใจเรานะ ถ้าเรารู้ทันถึงจิตถึงใจ วันนึงมันซ่อนอยู่ไม่ได้ มันเร่าร้อน มันทุรนทุราย มีคำอยู่คำนึง อาตาปี การเผากิเลสให้เร่าร้อน ไม่ต้องเผาด้วยอะไร เผาด้วยสตินี้แหล่ะ มีสติรู้ลงให้ถึงจิตถึงใจ กิเลสมันทุรนทุรายนะ มันต้องหาทางหลอกเรา ต้องมาพยายามสู้ อย่าไปกลัว กลัวก็หนีไม่พ้นความจริงท่านสอนของจริง จริงๆ ชีวิตมันทุกข์ คนมองไม่เห็นนะ มันก็คิดว่าชีวิตเป็นสุข หลงระเริงไปทีนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแค่ว่ามีทุกข์อย่างเดียว ท่านสอนทางพ้นทุกข์ด้วยเพราะฉะนั้นคำสอนของท่านจะครอบคลุมในเรื่องทุกข์กับความพ้นทุกข์เพราะฉะนั้นไม่ใช่มองโลกแง่ร้าย ถ้าบอกว่าชีวิตนี้ทุกข์แบบไม่มีทางออกนี่แหละศาสนาพุทธมองโลกแง่ร้าย นี่ท่านไม่ได้สอนแค่นั้นท่านสอนทุกข์และวิธีที่จะพ้นทุกข์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่มองโลกแง่ร้ายท่านให้เรายอมรับความจริง มีปัญหา มีความทุกข์อยู่จริงๆ แล้วก็สอนวิธีที่เราจะพ้นจากความทุกข์นี้ด้วยเนี่ยพ้นทุกข์ให้ได้นะ มันก็พ้นค่อยฝึกจิตฝึกใจไป จนมันพ้นกิเลสเมื่อไหร่ มันก็พ้นทุกข์เมื่อนั้นแหละเราจะข้ามมิจฉาทิฏฐิได้ยังไง มิจฉาทิฏฐิเป็นทะเลที่กว้างที่สุด ลักษณะของทะเลมิจฉาทิฏฐิคือทะเลที่กว้างมากเลย ไม่เห็นฝั่งคนทั้งหลายที่ตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิจะเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้นเอง เพราะไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหน ขึ้นฝั่งไม่ได้พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนบอกว่าเราตถาคตไม่เห็นว่าอะไรจะมีโทษเท่ากับมิจฉาทิฏฐิเลย มิจฉาทิฏฐิมีโทษมากที่สุด ตัวศาสนาพุทธแท้ๆ นั่นแหละคือตัวสัมมาทิฏฐิแล้วเราจะข้ามทะเลที่กว้างนี้นั้น เราไม่มีปัญญาจะข้ามด้วยตนเองเพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาศัยพระพุทธเจ้าท่านบอกทางให้ เหมือนท่านอยู่บนบกนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น