ถ้าสามารถเห็นได้ว่า กายนี้ใจนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็นเพียงมุมใดมุมหนึ่ง ไม่ต้องเห็นทั้งสามอย่าง
เห็นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตก็สามารถปล่อยวาง
ความยึดถือกายยึดถือใจได้ในที่สุด แต่ในเบื้องต้นก็จะเห็นก่อนว่า
กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา ถึงจะเห็นว่าไม่ใช่เราแต่ก็ยังไม่ปล่อยวาง
พระโสดาบันเนี่ย ท่านเห็นความจริงแล้วว่าตัวเราไม่มี
กายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา กายนี้เป็นวัตถุธาตุที่ยืมโลกมาใช้
จิตใจก็เป็นธาตุเรียกว่าธาตุรู้ ธาตุรู้เนี่ยเกิดดับๆ
สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่ท่านยังยึดถืออยู่นะ
ยังเห็นว่า กายนี้ใจนี้ยังนำความดีงามมาให้ได้ ยังรักมันอยู่
ยังนำความสุขมาให้ได้ ต้องเจริญสติต่อไปอีกนะ รู้กายรู้ใจๆ เรื่อยไป
ถึงวันหนึ่ง ถึงจะเห็นความจริงว่า กายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ
ทุกข์เพราะไม่เที่ยง ทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้ ถูกบีบคั้น
ทุกข์เพราะว่าไม่ใช่ตัวเรา บังคับมันไม่ได้ อยู่นอกเหนืออำนาจบังคับ
ถ้าเห็นอย่างนี้นะก็จะปล่อยวาง ปล่อยวางเป็นพระอรหันต์
พระโสดาบันเนี่ยไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่รู้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา
ไม่มีเราในกายในใจ แต่ยังยึดถืออยู่ ทำไมไม่เห็นว่าเป็นเรา
แล้วยังยึดถือได้ คล้ายๆ คนที่ยืมของคนอื่นเค้ามาใช้นะ
สมมุติหลวงพ่อไปยืมรถยนต์ ของคุณอนุรุธมาใช้ซักคันนึง
โอ้...รถคันนี้มันโก้จังนะ เรามีแต่รถกระบะ นี่รถเค้าสวย
ยืมมาใช้นาน จนหลงไปว่าเป็นรถของเราเอง ยืมเค้ามานาน
จนเราคิดว่าเป็นของเราเอง เหมือนกายนี้ใจนี้ เรายืมของโลกมาใช้
ยืมมานานจนสำคัญผิดว่าเป็นของเราเอง วันหนึ่งเป็นพระโสดาบัน
รู้แล้วว่ากายนี้ใจนี้เป็นของโลกนะไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราหรอก
ก็จะคล้ายๆคนขี้งกอ่ะ รู้แล้วว่ารถคันนี้ไมใช่ของเรานะ แต่มันดีนะ
เอาไว้ก่อน เพราะฉะนั้นพระโสดาบันยังมีอารมณ์ขี้งกอยู่
ยังไม่ปล่อยวางกายวางใจจริงนะ ต้องมาเรียนรู้กายรู้ใจให้หนักเข้าอีก
ดูไปเรื่อย วันหนึ่งเกิดปัญญาขึ้นมา ก็เห็นมันเป็นแต่ทุกข์ล้วนๆเลย
ไม่ใช่ของดีของวิเศษอีกต่อไป ก็ยอมคืนเจ้าของ คืนให้โลกไป
นี่ ฮ นกฮูกนะ มีหลัง ฮ นกฮูกอีก after ฮ นกฮูก
คือภาวะซึ่งมันสิ้นทุกข์ไปแล้วนะ จิตใจซึ่งมันสิ้นทุกข์ไปแล้วนะ
มันจะบอกว่ามีความสุขมันก็ไม่เหมือนนะ มันไม่รู้จะเทียบกับอะไร
มันสุขเพราะไม่มีอะไรเสียดแทง เป็นสุขเพราะเป็นอิสระ
จิตใจปลอดโปร่งโล่งเบาอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่นนะ
มันมีแต่ความสุขอย่างงั้น สุขเพราะพ้นความปรุงแต่ง
สุขเพราะพ้นกิเลส สุขเพราะไม่มีภาระที่จะต้องไปยึดถืออะไร ใจมันโล่ง อย่างถ้าเรายึดอะไรซักอย่าง เราก็มีภาระ
ยกตัวอย่างนะ ตรงนี้มีผ้าอยู่ชิ้นหนึ่ง เอาอะไรดีล่ะที่จะไม่แตกง่าย
เอานี่ก็แล้วกัน ระหว่างแก้วน้ำกับผ้านี่ อันไหนหนักกว่ากัน
(หลวงพ่อถือใช้มือหนึ่งถือแก้วน้ำและอีกมือหนึ่งถือผ้าไว้)
แก้วน้ำใช่มั้ย ถ้าหลวงพ่อวางแก้วน้ำลงเนี่ย
ระหว่างแก้วน้ำกับผ้า อันไหนจะหนักกว่ากัน
เห็นมั้ยแก้วน้ำมันหนักของมัน ไม่เกี่ยวกับเรา....ใช่มั้ย
ถ้าเรายึดผ้าไว้ เราก็หนักเพราะผ้า ขันธ์นี้เหมือนกันนะ
ขันธ์นี้เป็นของหนัก ขันธ์นี้เป็นภาระโดยตัวของมันเอง
เหมือนแก้วน้ำเนี่ย มันหนักโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ไปหยิบฉวยขึ้นมา มันไม่หนัก
ใจของพระอรหันต์ ใจที่ภาวนามาเต็มเปี่ยมแล้วนะ
มันไม่ยึดถืออะไร เพราะฉะนั้นมันไม่หนักเพราะอะไรอีกแล้ว
หมดภาระที่จะต้องแบกหาม เพราะฉะนั้นอย่าไปวาดภาพ
พระอรหันต์ เหมือนคนพิกลพิการนะ ต้องซึม เซื่องๆ ซึมๆ
ทำอะไรก็ไม่ได้นะ กระดุกกระดิกมาก ก็บอกมีตัณหานะ
อะไรอย่างนี้ มากไปนะอันนั้นมันคนพิการนะ
ดูพระอรหันต์สมัยพุทธกาลนะ บางองค์เจอท้องร่องกระโดดเลย
อย่างพระสารีบุตรเนี่ย ไม่มาย่องๆ เลยนะ กระโดดเลย
พวกเรานะพากเพียรนะ เจริญวิปัสสนา ได้เป็นพระโสดาบัน
ก็มีความสุขมากมาย ได้เป็นพระอรหันต์มีความสุขที่สุดเลย
มีความสุขแล้วก็พ้นกิเลส พ้นความปรุงแต่ง พ้นความเสียดแทง
พ้นภาระนะ มีความสุขเป็นอิสรภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น