วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีการเข้าถึงพระนิพพานบุคคลรู้แจ้งในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว จากผู้ใด พึงนอบน้อมผู้นั้นโดยเคารพ เหมือนพราหมณ์นับถือการบูชาไฟ ฉะนั้น. กราบขอบพระคุณหลวงพ่อ..ครับ.https://www.youtube.com/watch?v=njI_rbdl-YY https://www.youtube.com/watch?v=9xMtTU0k6Os https://www.youtube.com/watch?v=GTVCebNl0ws https://www.youtube.com/watch?v=xMyutB4khFM https://www.youtube.com/watch?v=ukhEHT89yT8 https://www.youtube.com/watch?v=lvATETJz5Hc https://www.youtube.com/watch?v=XeR5D0HgPSs https://www.youtube.com/watch?v=82qm2zIWTgE https://www.youtube.com/watch?v=ZOKSkgjVo2A https://www.youtube.com/watch?v=npxT7kzgIf8 https://www.youtube.com/watch?v=BuVhzJCp8PE https://www.youtube.com/watch?v=_MacugT4Yes https://www.youtube.com/watch?v=lvATETJz5Hc https://www.youtube.com/watch?v=mLGqlrBJM_g ปฏิปทาของพระโสดาบัน ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับคืนนี้ ก็เป็นคืน วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๖ แต่ว่ามองดูเวลา ถ้าทางราชการเขาจะถือว่าเป็นวันที่ ๑๐ แล้ว แต่ว่าทางพระ ก็ยังถือว่าเป็นวันที่ ๙ เพราะยังไม่ได้อรุณดูวันเวลา มันสว่างใกล้จะสว่างเข้ามาทีละน้อยๆ ร่างกายมันไม่อยากจะหลับ อาการทางร่างกายมันเครียดจริงมา ๔ วันเศษ ใกล้จะถึงวันเกิด ก็ดูเหมือนว่าพอจะใกล้จะถึงวันตาย จะเกิดหรือจะตายก็ช่าง มองดูเวลา ๓ นาฬิกาเศษๆ ก็ช่างปะไร เรื่องของร่างกายใจเราไม่เกี่ยว ร่างกายอยากจะหลับก็เชิญหลับ ไม่อยากจะหลับก็แล้วไป มันอยากจะกินก็เชิญมัน มันไม่อยากจะกินก็ช่างมันก็หมดเรื่อง เราตอนนี้ก็ไปนั่งมองดูเวลา มันใกล้จะสว่างนี่ เมื่อตอนก่อนๆ ทุกท่านก็ได้ศึกษาอริยสัจ เฉพาะเรื่องของทุกข์ แล้วก็ศึกษา บารมี ๑๐ ตอนนั้นเขาถือว่าเป็นการเตรียมตัวเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า มาวันนี้เราก็มาฝึกกันเพื่อความเป็นพระอริยเจ้ากัน สำหรับการฝึกเป็นพระอริยเจ้านี่ บรรดาเพื่อนภิกษุ สามเณรทั้งหลาย จงอย่าหลงตนว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้ว และก็จงอย่าเข้าใจว่าตนเป็นพระอริยเจ้า การจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่เป็นไม่สำคัญ เอาแต่เพียงว่าท่านมีปฏิปทาแบบไหน เรานำปฏิปทาแบบท่านมาใช้ก็หมดเรื่องใจเราจะได้เป็นสุข อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นคนตกนรกยาก หรือว่าดีไม่ดีเราก็เกิดไม่อยากตกเสียเลยก็ยังได้ นรกน่ะ นิพพานจะไปได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ความตายเข้ามาถึง ถ้ายังไม่ตายเราก็ยังไม่ควรพูดกันว่า เราจะไปนิพพานในชาตินี้ แต่เราก็พร้อมเตรียมตัวเพื่อจะไปในชาตินี้อยู่เสมอ ถ้าชาตินี้ไปไม่ได้ ชาติหน้าก็ไปได้ ชาติหน้าไปไม่ได้ ชาติต่อไปก็ไปได้ เป็นอันว่าเราสร้างความสุขใจไว้ก่อนดีกว่า การฝึกฝนตนคล้ายคลึงพระอริยเจ้า จะเป็นหรือไม่เป็นอย่าเข้าไปยุ่ง อย่าไปนึกว่า เวลานี้เราเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ถ้าไปนึกอย่างนั้นเข้า ถ้าไม่เป็นจริงๆ จะยุ่งใหญ่ เพราะว่า..พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า "ความอิ่ม ความเต็มจงอย่ามี จงเป็นผู้ไม่มีความอิ่ม ความเต็มในตบะ เป็นเครื่องเผาผลาญกิเลส" ทีนี้เรามาศึกษาเรื่องความเป็นพระโสดาบันกัน พระโสดาบันท่านเป็นกันอย่างไร บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเคยมาบอกว่าไปถามพระท่านแล้ว พระท่านบอกว่า พระโสดาบันน่ะเป็นยากแสนยาก แล้วญาติโยมทำไมไม่ถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ พระพุทธเจ้าดูบ้าง พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยบอกเลยว่าพระโสดาบันเป็นยาก พระโสดาบันตามปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ไว้เป็นง่ายจริงๆ ง่ายมาก คือถ้าเราจะตำน้ำพริกสักครก ถ้าเป็นแม่ครัว เป็นพระโสดาบันง่ายกว่าตำน้ำพริกหนึ่งครก เพราะตำน้ำพริกจิ้มหนึ่งครกนี่ ถ้ามือไม่ดี ปรุงไม่ดีจริง รสมันไม่อร่อย แต่พระโสดาบันนี่ไม่ต้องเปลี่ยนรส ใครจะเป็นพระโสดาบันก็รสเดียวเหมือนกันหมด รสที่จะเป็นพระโสดาบันได้มี ๓ รส รสอาหารน่ะ หรือจะเป็นรถขับขี่ก็ตามใจ คือ:- ๑. รสสักกายทิฏฐิ ๒. รสวิจิกิจฉา ๓. รสสีลัพพตปรามาส มีเท่านี้เอง พระโสดาบันมีเท่านี้ แล้วพระสกิทาคามีก็มีเท่านี้ แต่ละเอียดกว่ากันนิด ตอนนี้จะพูดเรื่องพระโสดาบันเสียก่อน พระโสดาบันก็ลองคิดดูว่าถ้าเป็นยากจริงๆ ท่านวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านเป็นเด็กอายุ ๗ ปี ท่านฟังเทศน์จบเดียว ท่านก็เป็นพระโสดาบัน ทีนี้ตามแบบท่านเขียนบอกว่า คนที่จะเป็นพระโสดาบันได้ ต้องตัด สักกายทิฏฐิ ได้เด็ดขาด คือมีความรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราความจริงแบบท่านเขียนไปไม่ผิด แต่ว่าท่านผู้ร้อยกรองเข้าใจผิด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอารมณ์นี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ไม่ใช่อารมณ์พระโสดาบัน อารมณ์พระโสดาบันมีความรู้สึกตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มีสมาธิเล็กน้อย และมีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์อารมณ์พระโสดาบันมีความรู้สึกแต่เพียงว่า ร่างกายนี้จะต้องตามแล้วก็ยังไม่ถึงกับรังเกียจร่างกาย ถ้ารังเกียจร่างกายนี่เป็นอารมณ์พระอนาคามี ตัวอย่างจะเห็นได้ชัดอย่างกับท่าน วิสาขามหาอุบาสิกา ท่านเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ ๗ ปี พออายุ ๑๖ ปี ท่านเป็นสาวท่านก็แต่งงาน นี่ถ้ารังเกียจร่างกายจริง ๆ จะแต่งงานทำไมเมื่อแต่งงานแล้วก็ไม่ได้แต่งกับตุ๊กตา ท่านแต่งกับคน ท่านก็มีลูกผู้ชายถึง ๑๐ คน ลูกผู้หญิง ๑๐ คน ท่านมีลูกของท่านจริง ๆ ๒๐ คน ก็ลองคิดดูว่า ถ้าคนรังเกียจร่างกายมีลูกตั้ง ๒๐ คน ได้ไหมหรือว่าจะมีลูกสัก ๑ คนได้ไหม ในเมื่อเรามีความรู้สึกว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่สนใจกับร่างกายเลย ถ้าไม่สนใจกับร่างกายเลยนี้ ใครเขาแต่งงานกันบ้าง ก็เป็นอันว่า เข้าใจว่าพระโสดาบันมีอารมณ์ไม่สูง ยังมีความรักร่างกายเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ร่างกายตนเองก็รัก ร่างกายคนอื่นก็รัก แล้วก็ไม่ใช่รักเฉย ๆ รักวิ่งกระโดดเข้าเป็นคู่ครองกันเสียเลย อย่าง ภรรยาของท่านพรานกุกกุฏมิตร เป็นลูกมหาเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ ๗ ปี เหมือนกัน เห็นพรานที่เป็นเนื้อคู่เก่าในชาติก่อน ทนไม่ไหว เดินไปดักหน้าทางเกวียนเขา ไม่ได้ตาม ดักเลย นี่อารมณ์พระโสดาบันก็เหมือนคนธรรมดา แต่ไม่มีโทษทางศีล ตอนนี้ก็มาคุยกันเล่นๆ ถ้าหากว่าท่านคิดจะฝึกตามแบบฉบับทรงอารมณ์ของพระโสดาบัน ทำแบบสบายๆ อย่ารุกรานกำลังใจ ถ้ารุกรานกำลังใจเป็น อัตตกิลมถานุโยค อย่าลืมนะจะไม่มีผลในทางปฏิบัติ ถ้าจิตใจอยากได้เกินไปเป็น กามสุขัลลิกานุโยค จิตฟุ้งซ่าน ตกในลักษณะของนิวรณ์ ทำใจให้เป็นสุขเอาแค่ ๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ๒. ถ้าชีวิตจะต้องตาย ก่อนจะตายจะต้องเอาที่พึ่งให้ได้แน่นอน คือยอมรับนับถือความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยอมรับพระธรรม ยอมรับพระอริยสงฆ์ ทั้ง ๓ ไตรสรณคมน์นี้ จะไม่ยอมปรามาส จะไม่ยอมดูถูก ดูหมิ่น ไม่เหยียดหยาม แล้วก็ ๓. จะทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาส ภิกษุ สามเณร จำเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุทรงศีล ๒๒๗ สิกขาบทที่เป็นทุกกฎและอภิสมาจาร อาจจะละเมิดบ้างเป็นของธรรมดา แต่ตั้งแต่ปาราชิก ๔ ถึง ปาจิตตีย์ ควรจะยับยั้ง อย่าให้ละเมิด และอาจจะพลาดพลั้งไปได้ ถึงไม่มีเจตนาก็ได้ สามเณรศีล ๑๐ ไม่พอ ต้องมีเสขิยวัตรอีก ๗๕ ไม่ยังงั้นความเป็นเณรไม่มี ที่วัดนี้ที่ไม่ต้องการรับเณรก็เพราะเหตุนี้แหละ หลายวัดบอกว่าเณรก็คือเด็ก เด็กก็คือเณร ถ้าอย่างนั้นจะบวชให้ทำไม มันลงนรก จะไปแนะนำให้เด็กลงนรกมันมีประโยชน์อะไร ตอนนี้เราก็มาคุยกันเล่นๆ แต่ว่าทำจริงๆ มันก็มีผลจริงๆ นะ สมมุติว่า สักกายทิฏฐิ เรามีความเข้าใจว่าชีวิตนี้ต้องตาย แต่ความตายนี่มีจริง แต่ว่าท่านญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง และเพื่อนภิกษุสามเณร แต่คนมักจะมองเห็นคนอื่นตาย แต่ก็ไม่ได้มองดูความตายของตัวเอง อันนี้มีเป็นปกติ อย่างนี้มีเป็นปกติธรรมดาๆ แล้วเราทำไมถึงจะไม่ลืมความตายล่ะ เรามานั่งคุยกัน เราคุยกันแบบธรรมดาๆ ของคนปัญญาโง่ๆ อย่างพวกเรา อย่าลืมว่าเวลานี้กำลังพูดตามสายแนวของ อุทุมพริกสูตร ในแนวของพระพุทธเจ้า ผมยอมรับนับถือองค์เดียว ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียว คนอื่นจะมายุ่งกับผมไม่ได้ ใครจะประกาศตนเป็นพระอรหันต์ แล้วพูดแหวกแนวสวนทางกับพระพุทธเจ้า ผมจะไม่ยอมรับฟังเด็ดขาด ผมฟังแล้ว ผมก็โยนทิ้งลงส้วมไป แต่ว่าผมเลิกวิธีขากถุยเสียแล้วนี่ เมื่อสมัยผมเป็นเด็กๆ ผมไม่ชอบใจ ผมขากถุยเลย เวลานี้ผมแก่แล้ว ผมขากไม่ไหว ถุยไม่ไหว แต่ก็จะยอมทิ้งส้วมไป อรหันต์ประเภทเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้าน่ะ ผมไม่ยอมรับนับถือ ผมถือว่าคนนั้นเป็นเปรต หรือเป็นสัตว์นรกของพระพุทธศาสนา ตามคติของเราคิดอย่างนั้น เขาจะเป็นอรหันต์ของเขาก็ช่างปะไร ที่คุยกันนี่เราคุยกันตามแนว อุทุมพริกสูตร อย่าลืมว่า อุทุมพริกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เขาเข้าถึง กระพี้ นั่นคือ ระลึกชาติได้ ที่เรียกกันตามภาษาบาลีว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ หากเราคิดว่าเราจะลืมความรู้สึกว่าเราตาย ก็ใช้กำลังปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติ ถอยหลังลงไปว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ ลองนับทีแรกสัก ๑๐ ชาติ เป็นอะไรบ้าง ถ้าคล่องตัวดี คราวนี้ไม่ต้องนับแล้ว ปั๊บเดียวเคยเกิดเป็นอย่างนั้นไหม เคยเกิดเป็นอย่างนี้ไหม ภาพจะเกิดทันทีทันใด อันนี้จะต้องฝึกฝน ผมถือว่าทุกองค์ฝึกฝนได้แล้วเพราะครูสอนไว้แล้ว นี่ทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าทุกท่านทิ้งความดี ผมก็เสียใจ ไม่ใช่เสียใจอย่างที่ชาวบ้านเขาเสียใจ เสียใจนิดหนึ่งว่าความดีมันน้อยสำหรับท่านไป ท่านทั้งหลายนิยมความชั่วที่ผมไม่รู้จะทำยังไงได้ เป็นอันว่าความดีท่านมีไว้ก็แล้วกัน เขาสอนแล้ว วัดนี้ก่อนที่จะเข้ามานี่เขาสอนกันแล้ว ก่อนที่จะบวชก็สอนแล้ว ทำได้หรือไม่ได้ ทรงได้หรือทรงไม่ได้เป็นความดีความชั่วของท่าน เราก็ใช้กำลังปุพเพนิวาสานุสสติญาณดูชาติต่างๆ เกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นสัตว์บ้าง มันก็ตายทุกชาติ มีฐานะดีขนาดไหนก็ตาย มีอำนาจวาสนาดีขนาดไหนก็ตาย ยากจนเข็ญใจขนาดไหนก็ตาย เป็นเพศหญิงเพศชายก็ตาย เป็นภิกษุสามเณรก็ตาย เป็นคนหรือสัตว์ตายยังไม่พอ ถอยหลังไปดูความเป็นเทวดาหรือพรหม ทุกคนที่นั่งฟังอยู่นี่ผมขอยืนยัน ถ้าทุกท่านจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เวลานี้ท่านจะได้ทราบว่าตัวของท่านเองน่ะ เคยเป็นเทวดา หรือพรหมมาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน เอ้า! ใครแน่ใจก็ลองดู เมื่อเป็นมาแล้ว ดูสิมันเป็นเท่าไรมันถึงต้องจุติ ความจริงสภาพของโลกนี่ไม่มีอะไรดีเลย มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกไม่ดี ไม่มีการทรงตัว มนุษย์เรียกว่า ตาย เทวดาหรือพรหมเรียกว่า จุติ มันก็ตัวตายเหมือนกัน นั่นแหละตัวไป คำว่า "ตาย" ในพุทธศาสนามีศัพท์ว่า มรณัง แต่คนตายจริงๆ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า กาลังกัตวา แต่ในอุทุมพริกสูตร ท่านเรียกว่า จุติ เหมือนกัน เคลื่อนหมด ไม่ใช่ตาย มันเคลื่อนไป อยู่ที่นี่ไม่ได้ก็ไปอยู่ที่โน่น เป็นมนุษย์ไม่ได้ก็ไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นสัตว์นรกไป นี่รวมความว่าถอยหลังไปจริงๆ เราก็จะเบื่อการเกิด แล้วก็จะมั่นใจจริงๆ ว่าชาตินี้มันตาย ตายถ้าพลาดท่าพลาดทาง หันเข้าไปดูอีกสองอัน วิจิกิจฉา กับ สีลัพพตปรามาส บางชาติมีความเคารพในพระไตรสรณคมน์ดี ตายปุ๊บปั๊บไปสวรรค์ ไปเป็นพรหม บางชาติมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตายปุ๊บปั๊บไปเป็นเทวดา ไปเป็นพรหม แล้วก็จุติจากเทวดา พรหมมาเป็นคน มีความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รูปร่างหน้าตาก็สะสวยบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน มีแต่ความสุข บางชาติมีความปรามาสในพระไตรสรณคมน์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือปรามาสในพระธรรม ปรามาสในพระอริยสงฆ์ พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ไว้อย่างนี้ ยักย้ายถ่ายเทไปเทศน์อย่างโน้น ถือมติของตนเองเป็นสำคัญ อย่าง พระกบิล ตายจากความเป็นพระลงอเวจีมหานรก น่ากลัวว่าจะเทศน์ว่าเทวดาไม่มี เทวดาไม่มีความสำคัญ อะไรตามนั้น นี่ตามมติของท่านนะ แต่ในเมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายตักเตือน ท่านก็โกรธ แล้วแม่กับน้องสาวก็พาลโกรธด้วย ช่วยกันด่าพระ คือว่าด่าพระที่ตักเตือน เมื่อตายแล้วพากันไปอเวจีทั้ง ๓ คน พระกบิลก็ไปอเวจี แม่กับน้องสาวก็ไปอเวจี นี่การปรามาสพระรัตนตรัย ดัดแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้มติลัทธิของตนเข้าสอนแทน ตายแล้วก็ต้องไปอบายภูมิอย่างนี้ บางชาติของเราละเมิดศีลก็ลงนรกเช่นเดียวกัน… ก็รวมความว่า เราต้องการจะให้ทรงอารมณ์ความเป็นพระโสดาบัน ถ้าใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณช่วยอย่างเดียวก็เหลือแหล่ในญาณ ๘ พระโสดาบันนี่ง่ายๆ ไม่ต้องถึงญาณ ๘ แล้วไม่ต้องถึง เป็นอันว่าถ้าเราเป็นพระโสดาบันจริง ท่านบอกว่าต้องมีอารมณ์ใจ คือ..นิพพาน อันนั้นเป็นของไม่ยาก ถ้าจิตของเราเข้าถึงอันดับนี้ เมื่อจิตมุ่งเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน เรียกว่า พระโสดาปัตติมรรค จิตใจเริ่มมีความเข้าใจดีด้วยกำลังของปุพเพนิวาสานุสสติญาณในเรื่องการเกิดการตาย และเมื่อถอยหลังชาติเข้าไปเบื่อการเกิดต่อไปอีก ถ้ามีอารมณ์เบื่อการเกิดต่อไปเกิดขึ้น เพราะเกิดแล้วตายเกิดแล้วก็ตาย ตอนนี้แหละเป็น โคตรภูญาณของพระโสดาบัน เมื่อรู้การเกิดการตายแล้วเกิดความเบื่อหน่าย เพราะรู้ว่า ตายแล้วบางชาติลงนรก บางชาติขึ้นสวรรค์ และไม่สงสัยในคุณพระไตรสรณคมน์ แล้วก็มีความมั่นใจในศีล อย่างนี้อารมณ์ใจเป็นโคตรภูญาณ แล้วก็ในอุทุมพริกสูตร ท่านมี ทิพจักขุญาณ เมื่อมีทิพยจักขุญาณ ถ้าจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ จะเห็นพระนิพพานชัดเจนแจ่มใสมาก ถ้าจิตยังไม่เข้าถึงตอนนี้ เรื่องพระนิพพานยังพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ไอ้ขนาดที่กินเหล้าเมายา โกหกมดเท็จ เสพกาม หลงใหลในกาม อันนี้ไม่มีโอกาส แต่คนที่เขามีสามีภรรยานี่เขายับยั้งได้ ทรงอารมณ์ได้ เขาเห็น ถ้าจิตเข้าสู่โคตรภูญาณของพระโสดาบัน จึงจะเห็นพระนิพพาน ถ้ายังไม่ถึงขนาดนั้น จะได้ทิพจักขุญาณขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังเป็นฌานโลกีย์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางเห็นพระนิพพาน นี่จำไว้ด้วยเรื่องนิพพาน ไม่ใช่จะไปทัศนาจรกันง่ายๆ มันต้องเป็นคนดี มีความดีพอควร จึงจะไปนิพพาน ไปเที่ยวนิพพานได้ ท่านที่บอกว่าจะไปนิพพานน่ะเป็นของเปรอะเลอะเทอะ ก็เพราะเขาเห็นพรนิพพานเป็นของยาก ก็รวมความว่า ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัท ใช้กำลังใจขั้นกระพี้กับแก่นแล้วก็ อย่าลืมนะ อย่าไปทิ้งสะเก็ด อย่าไปทิ้งเปลือก ถ้าทิ้งสะเก็ดทิ้งเปลือกเมื่อไร ทิพจักษุญาณก็ดี ปุพเพนิวาสานุสสติญาณก็ดี จะจาง ถ้าทิ้งนานเกินไปจะสลายตัวทันที จงรักษาสะเก็ดให้ดี จงรักษากระพี้ให้ครบถ้วน อารมณ์จะทรงตัว เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย… แต่ความจริงพระโสดาบัน เราจะเห็นได้ว่า ท่านมีทานบารมีสูงเป็นเครื่องสังเกต คนที่เป็นพระโสดาบันมีการนิยมให้ทานหนัก แต่ว่าพระโสดาบันท่านฉลาดนะ ท่านไม่โง่ ไม่ใช่ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ อันนี้เขาไม่ให้กินแน่ ถ้าพระชั่ว… ดูอย่าง พระอริยเจ้าที่เป็นฆราวาสในเมืองโกสัมพีฬะ ทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ฟัง ท่านก็เลยหลีกไป บรรดาพระอริยเจ้าที่เป็นฆราวาสทั้งหลาย ตั้งแต่พระโสดาบันถึงอนาคามีมีปริมาณมากไม่ยอมใส่บาตรให้พระพวกนั้นกินเลย นี่พระอริยเจ้านี่ท่านไม่ได้โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่ใช่ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ การที่จะมาแก้ไขดัดแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้ พระอริยเจ้ามีความเข้าใจ ก็รวมความว่า พระโสดาบันหนักในการให้ทาน เราจะสังเกตได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงบัญญัติไว้ในพระวินัยว่า "พระถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ ห้ามไปขอวัตถุและของกินของใช้ในตระกูลของพระเสขะ" พระเสขะ หมายถึง พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หากกว่า พระอรหันต์ ท่านเรียกว่า อเสขะ ไม่ต้องศึกษาต่อไป (เสขะ แปลว่า ยังศึกษาอยู่) แล้วการจะมองพระโสดาบันนี่ พระโสดาบันยังเคร่งครัดในศีล แต่อารมณ็เย็นๆ เขาไม่อวดเบ่งเต๊ะท่าว่า ฉันเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ท่านพวกนี้มีอารมณ์ใจสบายๆ พระโสดาบันระมัดระวังในเนกขัมมบารมีเบื้องต้นได้ดีมาก เวลาที่จะใช้ฌานสมาบัติระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด แล้วสังโยชน์ ๓ ประการตัดพร้อมตาย เกิดไม่ได้อีก ความรู้สึกว่าจะไม่ตายไม่มีกับพระโสดาบัน ความสงสัยในคุณพระไตรสรณคมน์ทั้ง ๓ ประการไม่มีอีก ตัดขาดไปเลย การตั้งใจละเมิดศีลจะไม่มีด้วยกำลังใจของพระโสดาบันแน่นอน แล้วจิตของพระโสดาบัน ถ้าว่าด้วยบารมี ท่านมีอธิษฐานบารมี ตั้งมั่นพระนิพพานจริง มีสัจจบารมี อารมณ์ตรงพระนิพพาน มีขันติบารมี อดทน มีอารมณ์ใดที่เข้ามาขัดข้องท่านต่อสู้ มีวิริยบารมี ตีฟันฝ่าอุปสรรค มีสัจจบารมี ทรงใจแน่วแน่ อธิษฐานบารมี ตรงแล้ว เมตตาบารมี พระโสดาบันมีมาก อุเบกขาบารมี ท่านทรงอารมณ์เฉย กดอารมณ์ไว้ไม่ยอมให้ความเป็นพระโสดาบันเสื่อม เฉยเลยยืนนิ่ง ถึงพระโสดาบันแล้วยืนนิ่งไม่ถอยหลัง มีแต่ก้าวหน้าต่อไป เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย และเพื่อนภิกษุสามเณร เวลาหมดแล้ว ก็ขอจบเรื่องราวของพระโสดาบันไว้เพียงเท่านี้ ที่พูดไว้แต่เป็นตัวอย่าง ความจริงถ้าเราได้ญาณ ๒ อย่าง คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับ ทิพจักขุญาณ ง่ายมาก ง่ายจริงๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เวลานี้ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแต่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรทุกท่าน สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น