วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิธีส่งจิตใจไปในกายในใจของเราจะพบทางพระนิพพานทีนี้มาว่ากันถึง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตอนนี้พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้รู้อารมณ์ของจิต ให้รู้อยู่นะขอรับ ว่าจิตเป็นยังไง กำหนดรู้ไว้ ท่านตั้งรู้ไว้ถึง ๑๕ ข้อด้วยกัน จะพูดให้ฟัง อาการมันเหมือนกันนะขอรับ ผมจะไม่พูดให้ละเอียดหรอก เวลาสิบนาทีนี่พอ คือว่า ๑. รู้อยู่ว่าจิตมีราคะ ๒. รู้อยู่ว่าเวลานี้จิตของเราปราศจากราคะ คือไม่ต้องการความสวยสดงดงามใดๆ ตั้งใจฟังให้ดีนะครับ เอากันแค่รู้นะ ยังไม่ใช่ละ ๓. รู้อยู่ว่าจิตมีโทสะ คือความโกรธ ความไม่ชอบใจ ๔. รู้อยู่ว่าเวลานี้จิตของเราปราศจากโทสะ ว่าเวลานี้เราว่าง เราไม่ได้โกรธใครนะขอรับ เราไม่ได้คิดจะโกรธใคร ไม่คิดจะฆ่าจะด่าจะตีใคร ไม่พยาบาทปองร้ายใคร ๕. รู้อยู่ว่าจิตมีโมหะ ไอ้โมหะนี่ ความหลงความชั่วยึดโน่นยึดนี่ว่าเป็นเราเป็นของเรา ร่างกายก็ของเรา ทรัพย์สินก็ของเรา ลูก เมีย ผัว หลาน อะไรต่ออะไรมันเป็นของเราไปหมด หลอกตัวเอง ความโง่ โมหะ คือ ความโง่ นะขอรับ ชาวบ้านเขาจะแปลว่ายังไงก็ช่าง เขาแปลว่าความหลง ถ้าคนไม่โง่ มันก็ไม่หลง ทีนี้ ๖. รู้อยู่ว่าเวลานี้จิตของเราปราศจากโมหะ คือว่าเวลานี้จิตของเรามีปัญญา รู้ว่าร่างกายเรามันจะตาย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันจะสลายตัว มันไม่มีอะไรทรงสภาพ มันเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา สลายไปในที่สุด อีตอนนี้เรียกว่าจิตปราศจากโมหะ เป็นนักปราชญ์ เป็นคนฉลาด มันเป็นตอนๆ ให้รู้อยู่นะ ทีนี้ ๗. รู้อยู่ว่าจิตของเราหดหู่ คือมันเหี่ยวมันแห้งไม่มีกำลังใจ ๘. รู้อยู่ว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน คิดสร้างวิมานในอากาศ คิดส่งเดชหาเหตุหาผลไม่ได้ หาสิ่งที่เป็นสาระไม่ได้ ๙. รู้อยู่ว่าจิตมีอารมณ์ใหญ่ ไอ้จิตมีอารมณ์ใหญ่นี้จิคคิดสร้างบ้านสร้างเมือง อยากมีผัวมีเมีย อยากมีลูก อยากมีทรัพย์มีสิน อยากมีอำนาจวาสนาว่ากันจิปาถะ หาจุดจบไม่ได้ คิดเรื่อยเปื่อยไปทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุมีผลที่จะเป็นไปได้ ๑๐. รู้อยู่ว่าจิตไม่มีอารมณ์ใหญ่ หมายความว่าเวลานี้จิตของเราอยู่ในวงแคบ คิดในวงของร่างกายอย่างเดียว นี่ไม่มีอารมณ์ใหญ่นะขอรับ ๑๑. รู้อยู่ว่าอารมณ์อย่างอื่นเยี่ยมกว่า มีอารมณ์อย่างอื่นเยี่ยมกว่า นี่หมายความว่าตามธรรมดาน่ะ เราเป็นคนเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เวลานี้ซิกลับมีความปรารถนาอยากจะเป็นคนดีมีศีล อยากจะเป็นคนมีสมาธิ อยากจะเป็นคนมีวิปัสสนาญาณแจ่มใส คิดว่าอัตภาพร่างกายหรือความเป็นอยู่มันไม่คงทนถาวรต่อไป ไม่ช้ามันก็ตาย ไม่ช้ามันก็สลายตัว เราอยากจะไปนิพพานดีกว่า นี่เป็นอารมณ์ที่เยี่ยมกว่าอารมณ์ธรรมดานะขอรับ หวังพระนิพพานเป็นอารมณ์ ๑๒. รู้อยู่ว่าเราไม่มีอารมณ์อย่างอื่นที่เยี่ยมกว่า คือยามปกติมันเกิดอารมณ์ขึ้นอีกทางหนึ่งบอกอย่าไปมันเลยนิพพาน ไปเชื่อหลวงตาที่นั่งพูดนี่ไม่มีประโยชน์ ไปทำไมอยู่ในโลกนี้ดีกว่า มีโขน มีละคร มีหนัง มีความรัก มีก๋วยเตี๋ยวมีบะหมี่กินกันตามสบาย นี่อารมณ์ระยำของใจ มันเกิดขึ้นแบบนี้ เรียกว่าไม่มีอารมณ์ที่เยี่ยมกว่าอารมณ์ปกติ ๑๓. มีจิตตั้งมั่น รู้อยู่ว่าเวลานี้มีจิตตั้งมั่น นี่หมายความว่าอารมณ์ส่ายที่เป็น อุทธัจจกุกกุจจะ มันไม่มี อารมณ์นอกเหนือจากสมาธิที่เราตั้งใจไว้ไม่มี คือเราตั้งใจไว้ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งคือ อานาปานุสสติกรรมฐาน อารมณ์ก็ตั้งอยู่เฉพาะเท่านั้น หรือว่าในธาตุ ในปฏิกูล ในสัญญา ในอะไรก็ตาม ในนวสีก็ตาม อารมณ์ตั้งอยู่โดยเฉพาะไม่สอดส่ายไปในอารมณ์อื่นๆ ยิ่งไปกว่านี้ นี่เรียกอารมณ์จิตตั้งมั่น ทีนี้ ๑๔. รู้อยู่ว่าในขณะนี้เรามีอารมณ์จิตไม่ตั้งมั่น นี่ขณะใดที่จิตมันส่ายออกนอกลู่นอกทางนอกจากอารมณ์ของความดี หรือความดีใดๆ ที่เราตั้งใจจะทรงไว้ แต่มันก็แลบออกไปเสียแล้วอย่างนี้เรารู้อยู่ ท่านเรียกว่ารู้อยู่ว่าจิตไม่ตั้งมั่น ทีนี้ข้อที่ ๑๕ ข้อสุดท้าย เรารู้อยู่ว่าเวลานี้จิตเราหลุดพ้น รู้อยู่ว่าจิตหลุดพ้น แล้วข้อที่ ๑๖ เรารู้อยู่ว่าเวลานี้จิตเราไม่หลุดพ้น นี่ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนะขอรับ พระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่นับถือ อาการอย่างนี้ทั้งหมดไม่ต้องท่องจำก็ได้ คือว่าไม่จำเป็นต้องเกาะตำรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีสัมปชัญญะ ว่าขณะนี้เรามีอารมณ์เป็นยังไง คือรู้อารมณ์ คุมอารมณ์เท่านั้นนะขอรับ ว่าเรามีอารมณ์เป็นยังไง ถ้าจิตมีอารมณ์ราคะ ก็พยายามแก้ราคะเสีย จิตมีอารมณ์โทสะ ก็แก้โทสะเสีย จิตมีอารมณ์โมหะ ก็แก้โมหะเสีย หากฎของความเป็นจริง ถ้าจิตหดหู่ ก็สร้างจิตให้มันเบิกบานตามธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น คือว่าถ้ารู้ว่ามันมีจิตชั่ว จิตมันมี ๒ จิต รวมความว่า ไอ้จิตน่ะมันมี ๒ จิต ที่พูดมาแล้วทั้งหมดมันมีอยู่ ๒ อย่าง คือว่า จิตมีอารมณ์ดี หรือว่า จิตมีอารมณ์ชั่ว ถ้าจิตมีอารมณ์ดีเนื่องในกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งอันนั้นควรส่งเสริมพยายามทำให้มากขึ้น รักษาอารมณ์นั้นให้แจ่มใส ถ้าอารมณ์ชั่วของจิตเกิดขึ้นเมื่อใดพยายามแก้ทันที นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแนะนำ เตือนให้รู้อยู่เสมอว่าขณะนี้อารมณ์จิตของเราเป็นยังไง เรื่องอารมณ์ของจิตนะขอรับ พระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รัก เรามักจะเผลอกัน เราไม่ค่อยได้สนใจกัน อุปกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของตัวเองไม่ค่อยมีใครสนใจ มักจะไปสนใจกับเรื่องของบุคคลอื่น อันนี้มันเป็น อุปกิเลส นะขอรับ รวมความว่าเข้าถึงความชั่ว อุป แปลว่า เข้าไป กิเลส แปลว่า ความเศร้าหมอง ไอ้ความเศร้าหมองก็ความชั่วนั่นเอง ขอประทานอภัยนะขอรับ พระคุณเจ้ารักความชั่วหรือรักความดี ถ้ารักความชั่วก็นิมนต์สนใจกับเรื่องของชาวบ้านให้มาก เรื่องส่วนตัวไม่ต้องสนใจ ถ้ารักความดีละก็ตัดความสนใจกับเรื่องของชาวบ้านเขาเสีย เขาจะดีจะชั่วช่างเรื่องของเขา เรื่องของเรามาชำระกระแสจิตตามกระแสพระพุทธดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน นี่ที่กล่าวมานี้เป็นอาการของท่านสุกขวิปัสสโกนะขอรับ ศึกษากันใน มหาสติปัฏฐานสูตร ธรรมดาๆ แต่ถ้าหากว่าพระคุณเจ้าหรือบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รัก เจริญ มหาสติปัฏฐานสูตร ใน อานาปานุสสติกรรมฐาน แล้ว แล้วก็ทรงวิชชาสามหรือได้ ทิพจักขุญาณ ตอนนี้เห็นจะไม่ต้องนั่งไล่แบบล่ะขอรับ สบาย เรามานั่งดูกระแสของจิตกันดีกว่า ว่าเวลานี้จิตของเรามีสีหรือไม่มีสี มันจะมีสีอะไรสักสีหนึ่งนะขอรับ ไม่ต้องอธิบายเรื่องสี นั่นแสดงว่าความชั่วปักเข้ามาในจิตแล้วนะขอรับ สีของจิต สีทั้งหมดจะเป็นสีขาว สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีดำ สีอะไรก็ตาม เลอะเทอะแล้วครับ ใช้ไม่ได้ สีขาวธรรมดาก็ใช้ไม่ได้นะครับ สีขาวธรรมดา สีขาวอยู่ในเกณฑ์ดี อยู่ในเกณฑ์จิตผ่องใส อยู่ในเกณฑ์จิตสงบ แต่ว่าจิตสงบอย่างเลว ใช้ไม่ได้นะขอรับ เป็นสีที่เลวง่าย ต้องขัดสีแก้วให้เป็นสีประกายพรึกคล้ายๆ กระจกเงาที่ตั้งไว้ทวนแสงพระอาทิตย์ มองดูแล้วแพรวพราว จะหมดทั้งดวงหรือไม่หมดก็ตามใจ ถ้ามันเป็นประกายน้อยก็ขัดให้มันเป็นประกายมาก เป็นอาการระงับกิเลส กำจัดกิเลสให้สิ้นไป กิเลสหมดไปเท่าไร จิตเป็นประกายเท่านั้น แต่ใสๆ เหมือนแก้วล้างแล้วนี่ เป็นอารมณ์ของอุเบกขาในฌาน ๔ เท่านี้ยังไม่ดีนะครับ เขาเรียกว่าเด็กพึ่งสอนเดิน มันล้มง่าย สู้ขับให้เป็นประกายพรึกเหมือนกับกระจกเงาที่ตั้งทวนแสงพระอาทิตย์ไม่ได้ อย่างนี้แหละดี นี่ถ้าหากว่าท่านฝึกวิชชาสามได้แล้วมีประโยชน์มาก การบรรลุมรรคผลเป็นไปได้โดยรวดเร็ว คือว่าไม่เกินกำหนดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าหากว่าท่านได้สำเร็จ ทิพจักขุญาณ แล้ว สามารถสำเร็จมรรคผลได้ภายใน ๗ วัน ถ้าขี้เกียจหน่อยก็ภายใน ๗ เดือน ถ้าขี้เกียจมากอีกนิดก็ภายใน ๗ ปี ไม่เกินนี้นะครับ พระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รัก เอ..นี่ ว่าไปว่ามาเวลามันก็เหลืออีกนิดเดียว ขอลาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทกลับก่อนดีกว่า วันพุธหน้ามาพบกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น