วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

กิเลสที่พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะแล้ว พระองค์จะไม่ทรงกลับแพ้อีก กิเลสสั...มารเสียใจเพราะพระองค์ตรัสรู้ ในสมัยนั้น มารถึงความโทมนัสแล้ว นั่งที่หนทางใหญ่ พลางรำพึงว่า "เราติดตามมาตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้คอยเพ่งจับผิด ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไรๆ ของสิทธัตถะนี้ บัดนี้ เธอก้าวล่วงวิสัยของเราไปเสียแล้ว." ทีนั้น ธิดาของมารนั้นสามคนเหล่านี้ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา ดำริว่า "บิดาของเราไม่ปรากฏ บัดนี้ ท่านอยู่ที่ไหนหนอ?" เที่ยวมองหาอยู่ จึงเห็นบิดานั้นผู้นั่งแล้วอย่างนั้น จึงเข้าไปหาแล้วไต่ถามว่า "คุณพ่อ เพราะเหตุไร? คุณพ่อจึงมีทุกข์เสียใจ" มารนั้นจึงเล่าเนื้อความแก่ธิดาเหล่านั้น. ลำดับนั้น ธิดาเหล่านั้นจึงบอกกะมารผู้บิดานั้นว่า "คุณพ่อ คุณพ่ออย่าคิดเลย พวกดิฉันจักทำเขาให้อยู่ในอำนาจของตนแล้วนำมา." มาร. แม่ทั้งหลาย ใครๆ ก็ไม่อาจทำเขาไว้ในอำนาจได้. ธิดา. คุณพ่อ พวกดิฉันชื่อว่าเป็นหญิง พวกดิฉันจักผูกเธอไว้ด้วยบ่วง มีบ่วงคือราคะเป็นต้นแล้วนำมา ในบัดนี้แหละ คุณพ่ออย่าคิดเลย" แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลว่า "ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักบำเรอพระบาทของพระองค์." ธิดามารประเล้าประโลมพระศาสดา พระศาสดามิได้ทรงใฝ่พระหฤทัยถึงถ้อยคำของธิดามารเหล่านั้นเลย ไม่ทรงลืมพระเนตรทั้งสองขึ้นดูเลย. พวกธิดามารคิดกันอีกว่า "ความประสงค์ของพวกบุรุษ สูงๆ ต่ำๆ แล. บางพวกมีความรักในเด็กหญิงรุ่นทั้งหลาย, บางพวกมีความรักในพวกหญิงที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย, บางพวกมีความรักในพวกหญิงที่ตั้งอยู่ในมัชฌิมวัย. บางพวกมีความรักในพวกหญิงที่ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย; พวกเราจักประเล้าประโลมเธอโดยประการต่างๆ" คนหนึ่งๆ นิรมิตอัตภาพได้ร้อยหนึ่งๆ ด้วยสามารถแห่งเพศมีเพศเด็กหญิงรุ่นเป็นต้น เป็นเด็กหญิงรุ่นทั้งหลาย เป็นหญิงยังไม่คลอด คลอดแล้วคราวหนึ่ง คลอดแล้วสองคราว เป็นหญิงกลางคนและเป็นหญิงแก่ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า "ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักบำเรอพระบาททั้งสองของพระองค์" ดังนี้ ถึง ๖ ครั้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงใฝ่พระหฤทัยถึงถ้อยคำของธิดามารแม้นั้น โดยประการที่ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิอันยอดเยี่ยม ด้วยประการฉะนี้. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะธิดามารผู้ติดตามมา แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า "พวกเจ้าจงหลีกไป พวกเจ้าเห็นอะไรจึงพยายามอย่างนี้? การทำกรรมชื่อเห็นปานนี้ต่อหน้าของพวกที่มีราคะไม่ไปปราศจึงจะควร, ส่วนตถาคตละกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นได้แล้ว พวกเจ้าจักนำเราไปในอำนาจของตน ด้วยเหตุอะไรเล่า?" ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :- ๑. ยสฺส ชิตํ นาวชียติ ชิตมสฺส โนยาติ โกจิ โลเก ตํ พุทฺธํ อนนฺตโคจรํ อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ. ยสฺส ชาลินี วิสตฺติกา ตณฺหา นตฺถิ กุหิญฺจิ เนตเว ตํ พุทฺธํ อนนฺตโคจรํ อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ. กิเลสชาตมีราคะเป็นต้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ชนะแล้ว อันพระองค์ย่อมไม่กลับแพ้, กิเลสหน่อยหนึ่งในโลก ย่อมไปหากิเลสชาตที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นชนะแล้วไม่ได้. พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร? ตัณหามีข่ายซ่านไปตาม อารมณ์ต่างๆ ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เพื่อนำไปใน ภพไหนๆ, พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้มีอารมณ์ ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอยไป ด้วยร่องรอยอะไร? Sompong Tungmepol

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น