sompong industrial

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อริยมรรค

การที่เราแต่ละคนๆนะ จะบรรลุพระโสดาบัน บรรลุพระสกทาคามีอนาคามี บรรลุพระอรหันต์เนี่ย ก็เดินอยู่ในร่องรอยอันเดียวกันทั้งหมดเลย เราต้องมาเห็นความเป็นจริงของรูปของนาม เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ จนจิตมันเป็นกลาง จิตมันเป็นกลางแล้ว ถึงจะมีโอกาสเกิดอริยมรรค ความเป็นกลางต่อสังขารนี่นะ ความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งป­วงนี้แหล่ะ คือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล ถ้าเรายังภาวนาไม่สามารถเข้ามาสู่ความเป็น­กลาง ต่อรูปนาม ต่อความปรุงแต่ง ได้ด้วยปัญญา ยังไกลกับมรรคผลอยู่ อย่างถ้าเราเป็นกลางด้วยสติ เป็นกลางด้วยสมาธิ ยังไกลต่อมรรคผลอยู่ แต่ถ้าเราอบรมปัญญามากพอนะ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางมากเข้่าๆนะ ตรง(ที่)ตั้งมั่นและเป็นกลางเนี่ย เป็นกลางด้วยสมาธิ (เป็น)กลางด้วยสติด้วยสมาธิ ในที่สุดจิตจะเกิดปัญญา เห็นว่าทุกอย่างเนี่ย เป็นของชั่วคราว เท่าๆกันหมดเลย ตรงนี้จะเป็นกลางด้วยปัญญาเมื่อมันเป็นกลา­งด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่ง หมดการแสวงหา หมดกิริยาอาการทั้งหลาย จิตชนิดนี้แหล่ะพร้อมที่จะสัมผัสกับพระนิพ­พาน บางคนจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ แล้วผ่านกระบวนการแห่งอริยมรรค แต่บางคนมาถึงสังขารุเปกขา(ญาณ)แล้วนะ จิตถอยออกมาอีก เสื่อมไปเลยก็ได้ บางคนไปอยู่ตรงนี้นะ แล้วปรารถนาพุทธภูมิก็ได้ เป็นทางแยกไปพุทธภูมิเพราะงั้นจะเป็นพระโพ­ธิสัตว์ หรือจะเป็นพระอริยสงฆ์เป็นสาวกธรรมดา ก็ต้องฝึกจนกระทั่งได้สังขารุเปกขาญาณ ถ้าไม่มีสังขารุเปกขาฯเนี่ย พระโพธิสัตว์ก็อยู่ไม่รอดหรอก เดี๋ยวเจอความทุกข์เข้าก็ถอย ไม่เป็นกลางกับความทุกข์งั้นพวกเราทุกคนนะ รู้เป้าหมายของเรา เราจะต้องพัฒนาจิตใจของตนเอง จนวันหนึ่งมันเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้ง­ปวง เช่นเป็นกลางต่อความสุขความทุกข์ เป็นกลางต่อกุศลอกุศล เป็นกลางต่อความยินดียินร้ายทั้งหลาย จะเป็นกลางได้นะ อาศัยมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง เป็นกลางตัวนี้กลางด้วยสติด้วยสมาธิไปก่อน แล้วสุดท้ายมันจะกลางด้วยปัญญา จิตมันรู้ตื่นแล้วก็เป็นกลาง สักว่ารู้ สักว่าเห็น มันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกัน สุขกับทุกข์เท่ากัน มีความสุขเกิดขึ้นมาก็สักว่ารู้สักว่าเห็น­ได้ มีความทุกข์เกิดขึ้นมา ก็สักว่ารู้สักว่าเห­็นได้ เมื่อสักว่า สักว่า แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ก็จะหมดการดิ้นรนของจิต หมดความปรุงแต่งของจิต จิตจะค่อยๆ ปรุงน้อยลงๆ ถึงจุดหนึ่งหยุดปั๊บลงไปตรงหยุดปั๊บ ลงไปนี­่จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิโดยสมาธิโดยอัตโน­มัติเลย เมื่อรวมเข้าอัปปนาสมาธิแล้ว ตรงนี้จะไม่คิดไม่นึกอะไรแล้ว จะเห็นสภาวธรรม (รูปธรรม นามธรรม) เกิดดับขึ้นภายใน ๒-๓ ขณะ ใจนี้สักว่ารู้สักว่าเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีกระทั่งความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ สักนิดเดียวเลย ถัดจากนั้น จิตจะวางการรู้สภาวะทบทวนกระแสเข้าหาธาตุร­ู้ พอทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วอริยมรรคจะแห­วกอาสวะกิเลสทั้งหลายหรือสังโยชน์ทั้งหลาย อาสวะที่ห่อหุ้มจิตอยู่ สังโยชน์ที่แทรกอยู่ในจิตจะถูกทำลายออกไปต­รงกระบวนการทำลายล้างนี่ ๑ ขณะเท่านั้น พอขาดสะบั้นลงแล้ว ตรงนี้เราจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะบ้าง ๓ ขณะบ้าง ตรงนี้เป็นผลแล้ว เป็นโลกุตรผลนะ ตรงที่เกิดอริยมรรคเรียกว่าโลกุตตรเหตุ มรรคเป็นเหตุ ผลเป็นผล ตรงที่เห็นเป็นผลนี่จะเห็นไม่เท่ากัน พวกที่สติปัญญาแก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๓ ครั้ง ๓ ขณะ พวกที่ยังไม่แก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมากลับสู่โลกภายนอกน­ี้ พอกลับมาสู่โลกภายนอก มันจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้­นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่ากิเลสตัวไหนหายไปแล้ว กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ รู้ว่ายังมีงานต้องทำอีก แต่ถ้าตัดครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์นะ มันทวนวับเข้าไป มันจะเห็นนิพพานชัดเจนเลย ไม่มีกิเลสอะไรให้ต้องลดละอีกแล้ว มันไม่มีกิเลสเหลือ จะเห็นนิพพานล้วนๆเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพ่อแม่ เราต้องรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราจะได้มรดกของพระพุทธเจ้า
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 00:26 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

videoplayback 3

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 00:25 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อริยทัศน์ อินเดีย : ตรัสรู้ สัมมาสัมโพธิญาณ

#เราจะปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่มรรคผลนิพพานทำไมเราไม่กำหนดรู้ความว่างหรือมหาสุญญตโดยตรงล่ะครับ

#ทำไมจึงต้องอ้อมไปหานิพพานโดยผ่านทางการรู้ทุกข์หรือรูปนาม
ตอบ
#นิพพานไม่ใช่โลกอีกอันหนึ่งที่ว่างๆและไม่มีอะไรเลย แต่นิพพานคือความดับตัณหาหรือวิราคะ และคือความดับของความปรุงแต่ง (รูปนาม) หรือ วิสังขาร ดังนั้นถ้าจู่ๆ เราดูเข้าไปที่ความว่าง เราจะหลงเพ่งช่องว่าง หรือเพ่งความไม่มีอะไรเลย นิพพานชนิดนั้นเรียกได้ว่า
#นิพพานพรหม ไม่ใช่นิพพานพุทธ หนทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินจึงต้องรู้ทุกข์ คือรู้ความปรุงแต่งหรือรูปนาม จนเข้าใจรูปนามตามความเป็นจริงจึงหมดตัณหา เมื่อใดหมดตัณหา เมื่อนั้นธรรมที่ปราศจากตัณหาและปราศจากความปรุงแต่งก็จะปรากฏออก มาให้รู้ได้ด้วยใจ สภาวะใดยังมีตัณหา และสภาวะใดยังมีรูปนาม สภาวะนั้นไม่ใช่นิพพาน
ตัวตนและสมมติบัญญัติทั้งหลายคือภาพลวงตาที่ตั้งซ้อนอยู่กับรูปนาม เมื่อเข้าใจรูปนาม ตามความเป็นจริงภาพลวงตาก็หายไป เมื่อเห็นแจ้งอย่างนี้ความยึดถือรูปนามก็ดับไป เมื่อจิตปล่อย วางรูปนามหมดความดิ้นรนแส่ส่ายเพราะความหิว ในอารมณ์ นิพพานคือความดับ แห่งตัณหาก็ปรากฏ ขึ้น เรียกว่ากิเลสนิพพานหรือสอุปาทิเสสนิพพาน
เมื่อรูปนามนี้ดำรงสืบต่อจนหมดวิบากที่ส่งผลให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แล้ว รูปนามนั้นก็ดับไปเหมือนไฟหมดเชื้อ เรียกว่าขันธนิพพาน หรือ อนุปาทิเสสนิพพาน
จะเห็นได้ว่านิพพานไม่ได้ปรากฏออกมาเพราะการแสวงหานิพพาน แต่ปรากฏเพราะการปล่อยวางความยึดถือในรูปนามเสียได้

ถาม เมื่อเราปฏิบัติมากเข้า สภาวะของสติปัญญา และจิตใจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมครับ
ตอบ เปลี่ยน แต่เขาเปลี่ยนของเขาเอง ไม่ใช่เราไป บังคับให้เขาเปลี่ยนได้ อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง
สติเบื้องต้นจะเกิดน้อย นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง แต่เมื่อหมั่นตามรู้กายตามรู้ใจเนืองๆ จนจิตรู้จักสภาวธรรมได้มากและแม่นยำแล้ว สติก็จะเกิดเร็วขึ้น ความเผลอก็จะสั้นลงเรื่อยๆ และสตินั้นเบื้องต้นรู้ได้แต่อารมณ์หยาบๆ เบื้องกลางรู้อารมณ์ ได้ละเอียดขึ้น เบื้องปลายรู้ได้ทุกอย่าง
ปัญญาเบื้องต้นรู้สภาวะหรือรูปนามเบื้องกลาง รู้ลักษณะหรือไตรลักษณ์ เบื้องสูงรู้อริยสัจจ์ สูงสุดรู้นิพพาน
จิตเบื้องต้นคลุกรวมอยู่กับอารมณ์ (จมอยู่กับรูปนาม รู้รูปนามอย่างมีส่วนได้เสีย) เบื้องกลางถอดถอนตนเองขึ้นเอง เริ่มจากการถอดถอน บ้างรวมบ้าง จนไม่รวมเข้ากับรูปนามเลย และเหมือนลอยอยู่กลางความว่าง ถึงจุดนี้ผู้ปฏิบัติอาจจะสงสัยว่าแล้วควรจะให้รู้ที่ใด ระหว่างจิต อารมณ์ และความว่าง จึงเที่ยวค้นคว้าหาทางเดินต่อไป เพราะพอรู้รูปนามก็ทุกข์ พอรู้จิตก็ว่างไม่มีอะไรเหมือนโง่อยู่เฉยๆ (การเพียรรู้รูปนามหรือจิต ก็ยังมีการกระทำหรือกรรมที่เรียกว่าปุญญาภิ-สังขาร) พอจะรู้ความว่างก็ยังต้องส่งใจออกไปรู้ (ว่างชนิดนี้จึงเป็นว่างที่รู้ด้วยอำนาจบงการของตัณหา ยังมีอาเนญชาภิสังขาร ผู้ปฏิบัติอย่างไม่รอบคอบและมีปัญญาไม่พอ จิตจะแล่นไปยึดเอาความว่างคือ "ความไม่มีอะไร" มาแทนขันธ์ เพราะคิดว่าความว่างคือนิพพาน ที่จริงนั่นเป็นอารมณ์อรูปไม่ใช่นิพพาน)
เมื่อเจริญสติมากเข้าจนจิตเข้าใจอริยสัจจ์แจ่มแจ้ง คือรู้ว่า "รูปนามหรือขันธ์นั่นแหละคือทุกข์ แต่ถ้าสิ้นตัณหาคือหมดอยากหมดยึดขันธ์ จิตก็หลุดพ้นจากกองขันธ์ ก็คือพ้นทุกข์" เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจ์อย่างนี้แล้ว จิตก็ถอดถอนหลุดพ้นออกจากกองทุกข์คือขันธ์ และพ้นจากการกระทบกระทั่งของกิเลส ทุกข์หรือขันธ์ก็ยังคงมีอยู่เพราะวิบากยังให้ผลอยู่ แต่ใจพ้นทุกข์ลอยอยู่เหนือกองทุกข์เพราะสิ้นตัณหาอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตไว้กับขันธ์ ความสิ้นตัณหานี่แหละคือนิพพานเป็นสภาพที่พ้นทุกข์ (ขันธ์) พ้นกิเลส โดยไม่ต้องส่งจิตเข้าไปหานิพพานในความว่างที่ไหนเลย
ถึงจุดนั้นจะเห็นชัดว่าสภาวธรรมทั้งปวงคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นเพียงอารมณ์ที่ปรากฏเท่านั้น ไม่มีเจ้าของผู้ครอบครองแต่อย่างใดเลย
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 23:42 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

อริยทัศน์ อินเดีย : ตรัสรู้ สัมมาสัมโพธิญาณ

#เราจะปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่มรรคผลนิพพานทำไมเราไม่กำหนดรู้ความว่างหรือมหาสุญญตโดยตรงล่ะครับ

#ทำไมจึงต้องอ้อมไปหานิพพานโดยผ่านทางการรู้ทุกข์หรือรูปนาม
ตอบ
#นิพพานไม่ใช่โลกอีกอันหนึ่งที่ว่างๆและไม่มีอะไรเลย แต่นิพพานคือความดับตัณหาหรือวิราคะ และคือความดับของความปรุงแต่ง (รูปนาม) หรือ วิสังขาร ดังนั้นถ้าจู่ๆ เราดูเข้าไปที่ความว่าง เราจะหลงเพ่งช่องว่าง หรือเพ่งความไม่มีอะไรเลย นิพพานชนิดนั้นเรียกได้ว่า
#นิพพานพรหม ไม่ใช่นิพพานพุทธ หนทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินจึงต้องรู้ทุกข์ คือรู้ความปรุงแต่งหรือรูปนาม จนเข้าใจรูปนามตามความเป็นจริงจึงหมดตัณหา เมื่อใดหมดตัณหา เมื่อนั้นธรรมที่ปราศจากตัณหาและปราศจากความปรุงแต่งก็จะปรากฏออก มาให้รู้ได้ด้วยใจ สภาวะใดยังมีตัณหา และสภาวะใดยังมีรูปนาม สภาวะนั้นไม่ใช่นิพพาน
ตัวตนและสมมติบัญญัติทั้งหลายคือภาพลวงตาที่ตั้งซ้อนอยู่กับรูปนาม เมื่อเข้าใจรูปนาม ตามความเป็นจริงภาพลวงตาก็หายไป เมื่อเห็นแจ้งอย่างนี้ความยึดถือรูปนามก็ดับไป เมื่อจิตปล่อย วางรูปนามหมดความดิ้นรนแส่ส่ายเพราะความหิว ในอารมณ์ นิพพานคือความดับ แห่งตัณหาก็ปรากฏ ขึ้น เรียกว่ากิเลสนิพพานหรือสอุปาทิเสสนิพพาน
เมื่อรูปนามนี้ดำรงสืบต่อจนหมดวิบากที่ส่งผลให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แล้ว รูปนามนั้นก็ดับไปเหมือนไฟหมดเชื้อ เรียกว่าขันธนิพพาน หรือ อนุปาทิเสสนิพพาน
จะเห็นได้ว่านิพพานไม่ได้ปรากฏออกมาเพราะการแสวงหานิพพาน แต่ปรากฏเพราะการปล่อยวางความยึดถือในรูปนามเสียได้

ถาม เมื่อเราปฏิบัติมากเข้า สภาวะของสติปัญญา และจิตใจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมครับ
ตอบ เปลี่ยน แต่เขาเปลี่ยนของเขาเอง ไม่ใช่เราไป บังคับให้เขาเปลี่ยนได้ อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง
สติเบื้องต้นจะเกิดน้อย นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง แต่เมื่อหมั่นตามรู้กายตามรู้ใจเนืองๆ จนจิตรู้จักสภาวธรรมได้มากและแม่นยำแล้ว สติก็จะเกิดเร็วขึ้น ความเผลอก็จะสั้นลงเรื่อยๆ และสตินั้นเบื้องต้นรู้ได้แต่อารมณ์หยาบๆ เบื้องกลางรู้อารมณ์ ได้ละเอียดขึ้น เบื้องปลายรู้ได้ทุกอย่าง
ปัญญาเบื้องต้นรู้สภาวะหรือรูปนามเบื้องกลาง รู้ลักษณะหรือไตรลักษณ์ เบื้องสูงรู้อริยสัจจ์ สูงสุดรู้นิพพาน
จิตเบื้องต้นคลุกรวมอยู่กับอารมณ์ (จมอยู่กับรูปนาม รู้รูปนามอย่างมีส่วนได้เสีย) เบื้องกลางถอดถอนตนเองขึ้นเอง เริ่มจากการถอดถอน บ้างรวมบ้าง จนไม่รวมเข้ากับรูปนามเลย และเหมือนลอยอยู่กลางความว่าง ถึงจุดนี้ผู้ปฏิบัติอาจจะสงสัยว่าแล้วควรจะให้รู้ที่ใด ระหว่างจิต อารมณ์ และความว่าง จึงเที่ยวค้นคว้าหาทางเดินต่อไป เพราะพอรู้รูปนามก็ทุกข์ พอรู้จิตก็ว่างไม่มีอะไรเหมือนโง่อยู่เฉยๆ (การเพียรรู้รูปนามหรือจิต ก็ยังมีการกระทำหรือกรรมที่เรียกว่าปุญญาภิ-สังขาร) พอจะรู้ความว่างก็ยังต้องส่งใจออกไปรู้ (ว่างชนิดนี้จึงเป็นว่างที่รู้ด้วยอำนาจบงการของตัณหา ยังมีอาเนญชาภิสังขาร ผู้ปฏิบัติอย่างไม่รอบคอบและมีปัญญาไม่พอ จิตจะแล่นไปยึดเอาความว่างคือ "ความไม่มีอะไร" มาแทนขันธ์ เพราะคิดว่าความว่างคือนิพพาน ที่จริงนั่นเป็นอารมณ์อรูปไม่ใช่นิพพาน)
เมื่อเจริญสติมากเข้าจนจิตเข้าใจอริยสัจจ์แจ่มแจ้ง คือรู้ว่า "รูปนามหรือขันธ์นั่นแหละคือทุกข์ แต่ถ้าสิ้นตัณหาคือหมดอยากหมดยึดขันธ์ จิตก็หลุดพ้นจากกองขันธ์ ก็คือพ้นทุกข์" เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจ์อย่างนี้แล้ว จิตก็ถอดถอนหลุดพ้นออกจากกองทุกข์คือขันธ์ และพ้นจากการกระทบกระทั่งของกิเลส ทุกข์หรือขันธ์ก็ยังคงมีอยู่เพราะวิบากยังให้ผลอยู่ แต่ใจพ้นทุกข์ลอยอยู่เหนือกองทุกข์เพราะสิ้นตัณหาอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตไว้กับขันธ์ ความสิ้นตัณหานี่แหละคือนิพพานเป็นสภาพที่พ้นทุกข์ (ขันธ์) พ้นกิเลส โดยไม่ต้องส่งจิตเข้าไปหานิพพานในความว่างที่ไหนเลย
ถึงจุดนั้นจะเห็นชัดว่าสภาวธรรมทั้งปวงคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นเพียงอารมณ์ที่ปรากฏเท่านั้น ไม่มีเจ้าของผู้ครอบครองแต่อย่างใดเลย
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 23:42 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

อริยทัศน์ อินเดีย : ตรัสรู้ สัมมาสัมโพธิญาณ

#เราจะปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่มรรคผลนิพพานทำไมเราไม่กำหนดรู้ความว่างหรือมหาสุญญตโดยตรงล่ะครับ

#ทำไมจึงต้องอ้อมไปหานิพพานโดยผ่านทางการรู้ทุกข์หรือรูปนาม
ตอบ
#นิพพานไม่ใช่โลกอีกอันหนึ่งที่ว่างๆและไม่มีอะไรเลย แต่นิพพานคือความดับตัณหาหรือวิราคะ และคือความดับของความปรุงแต่ง (รูปนาม) หรือ วิสังขาร ดังนั้นถ้าจู่ๆ เราดูเข้าไปที่ความว่าง เราจะหลงเพ่งช่องว่าง หรือเพ่งความไม่มีอะไรเลย นิพพานชนิดนั้นเรียกได้ว่า
#นิพพานพรหม ไม่ใช่นิพพานพุทธ หนทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินจึงต้องรู้ทุกข์ คือรู้ความปรุงแต่งหรือรูปนาม จนเข้าใจรูปนามตามความเป็นจริงจึงหมดตัณหา เมื่อใดหมดตัณหา เมื่อนั้นธรรมที่ปราศจากตัณหาและปราศจากความปรุงแต่งก็จะปรากฏออก มาให้รู้ได้ด้วยใจ สภาวะใดยังมีตัณหา และสภาวะใดยังมีรูปนาม สภาวะนั้นไม่ใช่นิพพาน
ตัวตนและสมมติบัญญัติทั้งหลายคือภาพลวงตาที่ตั้งซ้อนอยู่กับรูปนาม เมื่อเข้าใจรูปนาม ตามความเป็นจริงภาพลวงตาก็หายไป เมื่อเห็นแจ้งอย่างนี้ความยึดถือรูปนามก็ดับไป เมื่อจิตปล่อย วางรูปนามหมดความดิ้นรนแส่ส่ายเพราะความหิว ในอารมณ์ นิพพานคือความดับ แห่งตัณหาก็ปรากฏ ขึ้น เรียกว่ากิเลสนิพพานหรือสอุปาทิเสสนิพพาน
เมื่อรูปนามนี้ดำรงสืบต่อจนหมดวิบากที่ส่งผลให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แล้ว รูปนามนั้นก็ดับไปเหมือนไฟหมดเชื้อ เรียกว่าขันธนิพพาน หรือ อนุปาทิเสสนิพพาน
จะเห็นได้ว่านิพพานไม่ได้ปรากฏออกมาเพราะการแสวงหานิพพาน แต่ปรากฏเพราะการปล่อยวางความยึดถือในรูปนามเสียได้

ถาม เมื่อเราปฏิบัติมากเข้า สภาวะของสติปัญญา และจิตใจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมครับ
ตอบ เปลี่ยน แต่เขาเปลี่ยนของเขาเอง ไม่ใช่เราไป บังคับให้เขาเปลี่ยนได้ อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง
สติเบื้องต้นจะเกิดน้อย นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง แต่เมื่อหมั่นตามรู้กายตามรู้ใจเนืองๆ จนจิตรู้จักสภาวธรรมได้มากและแม่นยำแล้ว สติก็จะเกิดเร็วขึ้น ความเผลอก็จะสั้นลงเรื่อยๆ และสตินั้นเบื้องต้นรู้ได้แต่อารมณ์หยาบๆ เบื้องกลางรู้อารมณ์ ได้ละเอียดขึ้น เบื้องปลายรู้ได้ทุกอย่าง
ปัญญาเบื้องต้นรู้สภาวะหรือรูปนามเบื้องกลาง รู้ลักษณะหรือไตรลักษณ์ เบื้องสูงรู้อริยสัจจ์ สูงสุดรู้นิพพาน
จิตเบื้องต้นคลุกรวมอยู่กับอารมณ์ (จมอยู่กับรูปนาม รู้รูปนามอย่างมีส่วนได้เสีย) เบื้องกลางถอดถอนตนเองขึ้นเอง เริ่มจากการถอดถอน บ้างรวมบ้าง จนไม่รวมเข้ากับรูปนามเลย และเหมือนลอยอยู่กลางความว่าง ถึงจุดนี้ผู้ปฏิบัติอาจจะสงสัยว่าแล้วควรจะให้รู้ที่ใด ระหว่างจิต อารมณ์ และความว่าง จึงเที่ยวค้นคว้าหาทางเดินต่อไป เพราะพอรู้รูปนามก็ทุกข์ พอรู้จิตก็ว่างไม่มีอะไรเหมือนโง่อยู่เฉยๆ (การเพียรรู้รูปนามหรือจิต ก็ยังมีการกระทำหรือกรรมที่เรียกว่าปุญญาภิ-สังขาร) พอจะรู้ความว่างก็ยังต้องส่งใจออกไปรู้ (ว่างชนิดนี้จึงเป็นว่างที่รู้ด้วยอำนาจบงการของตัณหา ยังมีอาเนญชาภิสังขาร ผู้ปฏิบัติอย่างไม่รอบคอบและมีปัญญาไม่พอ จิตจะแล่นไปยึดเอาความว่างคือ "ความไม่มีอะไร" มาแทนขันธ์ เพราะคิดว่าความว่างคือนิพพาน ที่จริงนั่นเป็นอารมณ์อรูปไม่ใช่นิพพาน)
เมื่อเจริญสติมากเข้าจนจิตเข้าใจอริยสัจจ์แจ่มแจ้ง คือรู้ว่า "รูปนามหรือขันธ์นั่นแหละคือทุกข์ แต่ถ้าสิ้นตัณหาคือหมดอยากหมดยึดขันธ์ จิตก็หลุดพ้นจากกองขันธ์ ก็คือพ้นทุกข์" เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจ์อย่างนี้แล้ว จิตก็ถอดถอนหลุดพ้นออกจากกองทุกข์คือขันธ์ และพ้นจากการกระทบกระทั่งของกิเลส ทุกข์หรือขันธ์ก็ยังคงมีอยู่เพราะวิบากยังให้ผลอยู่ แต่ใจพ้นทุกข์ลอยอยู่เหนือกองทุกข์เพราะสิ้นตัณหาอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตไว้กับขันธ์ ความสิ้นตัณหานี่แหละคือนิพพานเป็นสภาพที่พ้นทุกข์ (ขันธ์) พ้นกิเลส โดยไม่ต้องส่งจิตเข้าไปหานิพพานในความว่างที่ไหนเลย
ถึงจุดนั้นจะเห็นชัดว่าสภาวธรรมทั้งปวงคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นเพียงอารมณ์ที่ปรากฏเท่านั้น ไม่มีเจ้าของผู้ครอบครองแต่อย่างใดเลย
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 23:41 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ทางสายกลาง

เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ

เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ 
ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔ 
พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค 
เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ 
เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด
จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะ จิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล
จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ 
ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น
สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ 
ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ 
สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป
แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า
#นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง 
#พวกเรายังไม่เคยเห็นเราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้างข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่งพวกนี้พวกสัสตะทิฐิมีของที่เที่ยงคงที่ 
#อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลยขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลยกระทั่งสติพวกนี้หลงไปล่ะคิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลยนี่พวกอุจเฉททิฐินะนิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ 
#สภาวะของนิพพานคือสันติ
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 17:53 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ทางสายกลางเวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔ พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะ จิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า #นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง #พวกเรายังไม่เคยเห็นเราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้างข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่งพวกนี้พวกสัสตะทิฐิมีของที่เที่ยงคงที่ #อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลยขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลยกระทั่งสติพวกนี้หลงไปล่ะคิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลยนี่พวกอุจเฉททิฐินะนิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ #สภาวะของนิพพานคือสันติ

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 17:51 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลกนิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลก - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=pdGovvHhmzk วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 13:49 13 ก.ค. 2560 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol นิพพานสูตรสฬายตนวรรคสังยุตตนิกาย ท่านก็พูดถึงว่า ราคากฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย นี่เรียกว่า นิพพาน ชัมพุขาทกะ ถามว่า นิพพานคืออะไร พระสารีบุตรก็ตอบว่า ... พระนิพพานคืออะไร - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=XbQH96MFj6k วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 6:32 4 พ.ย. 2554 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol คำว่า "นิพพาน" มาจากภาษาบาลี Nibbāna निब्बान ประกอบด้วยศัพท์ นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) รวมเข้าด้วยกันแปลว่า ... จิตสัมผัสพระนิพพาน - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=23VaPVFDShs วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 14:51 14 ธ.ค. 2558 - อัปโหลดโดย สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ สติสมาธิปัญญาศีลสมาธิปัญญาบุญบารมีอะไรแก่รอบแล้วนะจิตหยุดความปรุงแต่งแล้วมันจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิรวมเอง ทำไมมันรวมเข้าอัปปนาสมาธิได้เอง ... นิพพานเป็นอย่างไร - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=DEIp4yiPbgo วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 6:32 2 ก.ย. 2560 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงอธิบายว่า พระอรหันต์ผู้บรรลุนิพพานเมื่อดับขันธ์แล้วจะอยู่ในสภาพเช่นใด การอธิบายทำได้ในลักษณะเพียงว่า ... ข้อสรุปนิพพานไม่สูญ หลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้า l หลวงพ่อพุธตอบคำถามพระ ... https://www.youtube.com/watch?v=E7XJEw122T8 วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 22:20 20 ก.ย. 2560 - อัปโหลดโดย Plodlock - ปลดล็อค ข้อสรุปนิพพานไม่สูญ หลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้า l หลวงพ่อพุธตอบคำถามพระสังฆราชเกี่ยวกับนิพพาน. Plodlock - ปลดล็อค. Loading... Unsubscribe from ... ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับผลการค้นหา นิพพาน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ถัดไป

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 04:04 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สถานที่ปรินิพพาน กุสินารา Mahaparinirvana Temple - Kushinagar

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 03:32 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สถานที่ปรินิพพาน กุสินารา Mahaparinirvana Temple - Kushinagar

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 03:32 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สถานที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พุทธคยา - Bodhgaya

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 03:31 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

Kolkata City Tour Within 5 Minutes 2018 | Kolkata City of Joy#สัจจะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งคือนิพพาน #เพราะสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นธรรมดานั้นเท็จ #สิ่งที่ไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดาได้แก่นิพพานนั้นจริง เป็นสัจจะอันประเสริฐยิ่ง ฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ จาคะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่ง คือ ความสละคืนอุปธิทั้งปวง เพราะบุคคลยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงมีอภิชฌา ฉันทะ ราคะกล้า อาฆาต พยาบาท ความคิดประทุษร้าย อวิชชา ความหลงพร้อม และความหลงงมงาย อกุศลธรรมนั้นๆ เป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา ผู้ถึงพร้อมด้วยการสละอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ เป็นจาคะอันประเสริฐยิ่ง อุปสมะ (ความสงบ) อันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ คือความเข้าไปสงบราคะ โทสะ โมหะ ผู้ถึงพร้อมด้วยความสงบอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปสมะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ เป็นอุปสมะอันประเสริฐอย่างยิ่ง กิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ความสำคัญตนมีอยู่ดังนี้ว่า เราเป็น เราไม่เป็น เราจักเป็น เราจักไม่เป็น เราจักต้องเป็นสัตว์มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ความสำคัญตนจัดเป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร ก็ท่านเรียกบุคคลว่า เป็นมุนีผู้สงบแล้ว เพราะล่วงความสำคัญตนได้ทั้งหมดเทียว มุนีผู้สงบแล้ว ย่อมไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่กำเริบ ไม่ทะเยอทะยาน แม้มุนีนั้นก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเกิด เมื่อไม่เกิด จักแก่ได้อย่างไร เมื่อไม่แก่ จักตายได้อย่างไร เมื่อไม่ตายจักกำเริบได้อย่างไร เมื่อไม่กำเริบ จักทะเยอทะยานได้อย่างไร คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม เป็นไป ก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 03:07 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

360 video: View of Jama Masjid, Delhi, India#สัจจะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งคือนิพพาน #เพราะสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นธรรมดานั้นเท็จ #สิ่งที่ไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดาได้แก่นิพพานนั้นจริง เป็นสัจจะอันประเสริฐยิ่ง ฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ จาคะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่ง คือ ความสละคืนอุปธิทั้งปวง เพราะบุคคลยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงมีอภิชฌา ฉันทะ ราคะกล้า อาฆาต พยาบาท ความคิดประทุษร้าย อวิชชา ความหลงพร้อม และความหลงงมงาย อกุศลธรรมนั้นๆ เป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา ผู้ถึงพร้อมด้วยการสละอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ เป็นจาคะอันประเสริฐยิ่ง อุปสมะ (ความสงบ) อันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ คือความเข้าไปสงบราคะ โทสะ โมหะ ผู้ถึงพร้อมด้วยความสงบอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปสมะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ เป็นอุปสมะอันประเสริฐอย่างยิ่ง กิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ความสำคัญตนมีอยู่ดังนี้ว่า เราเป็น เราไม่เป็น เราจักเป็น เราจักไม่เป็น เราจักต้องเป็นสัตว์มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ความสำคัญตนจัดเป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร ก็ท่านเรียกบุคคลว่า เป็นมุนีผู้สงบแล้ว เพราะล่วงความสำคัญตนได้ทั้งหมดเทียว มุนีผู้สงบแล้ว ย่อมไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่กำเริบ ไม่ทะเยอทะยาน แม้มุนีนั้นก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเกิด เมื่อไม่เกิด จักแก่ได้อย่างไร เมื่อไม่แก่ จักตายได้อย่างไร เมื่อไม่ตายจักกำเริบได้อย่างไร เมื่อไม่กำเริบ จักทะเยอทะยานได้อย่างไร คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม เป็นไป ก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 03:04 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

บ้านเกิดเมืองนอนบ้านเมืองเรารุ่งเรืองพร้อมอยู่หมู่เหล่า พวกเราล้วนพงศ์เผ่าศิวิไลซ์ เพราะฉะนั้นควรจะยินดี เปรมปรีดิ์ดีใจเรียกตนว่าไทย แดนดินผืนใหญ่มิใช่ทาษเขา ก่อนนี้มีเขตแดนนับว่ากว้างใหญ่ ได้ไว้พลีเลือดเนื้อแลกเอา รบ รบ รบ ไม่หวั่นใคร มอบความเป็นไทยพวกเรา แต่ครั้งนานกาลเก่า ชาติเราเขาเรียกชาติไทย บ้านเมืองควรประเทืองไว้ดั่งแต่ก่อน แน่นอนเนื้อและเลือดพลีไป เพราะฉะนั้นเราควรเปรมปรีดิ์ มีความภูมิใจแดนดินถิ่นไทย รวบรวมไว้ได้แสนจะยากเข็ญ ยากแค้นเคยกู้แดนไว้อย่างบากบัน ก่อนนั้นเคยแตกฉานซ่านเซ็น แม้กระนั้นยังร่วมใจ รวบรวมชาวไทยให้ร่มเย็น บัดนี้ไทยดีเด่น ร่มเย็นผาสุกเรื่อยมา อยู่กินบนแผ่นดินท้องถิ่นกว้างใหญ่ ชาติไทยนั้นเคยใหญ่ในบูรพา ทุก ๆ เช้าเราดูธงไทย ใจจงปรีดาว่าไทยอยู่มา ด้วยความผาสุกถาวรสดใส บัดนี้ไทยเจริญวิสุทธิ์ผุดผ่อง พี่น้องจงแซ่ร้องชาติไทย รักษาไว้ให้มั่นคง เทอญธงไตรรงค์ให้เด่นไกล ชาติเชื้อเรายิ่งใหญ่ ชาติไทยบ้านเกิดเมืองนอน

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 02:25 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

นิพพาน

#ทำเครื่องปรับรอบมอเตอร์สามเฟส#arduino3phasemotor
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 16:13 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วา...

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 06:57 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วา...

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 06:57 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จิตหมดแรงดิ้น

การที่เราคิดอยู่นะ ทำยังไงจะดี ทำยังไงจะดี แล้วพยายามทำ มันได้พัฒนาสติสมาธิปัญญาขึ้นมา

ทำไปเรื่อยๆถึงวันหนึ่งพบว่า เอ..ทำไงมันก็ดีไม่ถาวร สุขก็ไม่ถาวร สงบก็ไม่ถาวร
ตัวผู้รู้ก็ไม่ถาวร ตัวผู้รู้เกิดได้กลายเป็นตัวผู้คิดได้ หรือกลายเป็นตัวผู้เพ่งได้ มีแต่ของไม่ถาวร
ก็พย๊ามพยามนะ อยากจะให้ดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร
ถามใจของพวกเราดูซิ เราปฏิบัติเราอยากได้ตรงนี้ใช่ไหม
อยากได้มรรคผลนิพพานนะจริงๆเพราะอะไร?
มรรคผลนิพพานมันน่าจะดีถาวร มันน่าจะสุขถาวร มันน่าจะสงบถาวร เราอยากได้สิ่งเหล่านี้
ถ้ามีสติปัญญามาก ก็อยากได้มรรคผลนิพพานเพื่อจะดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร
ถ้าโง่กว่านั้นนะ ก็ไปทำสมาธิ ทำอะไรขึ้นมา ก็ดีเหมือนกัน
ดีช่วงที่มีสมาธิอยู่ สงบช่วงที่มีสมาธิอยู่ สุขช่วงที่มีสมาธิอยู่
พอมันเสื่อมแล้วก็หายไปอีก ต้องมาทำอีก นี้ก็แล้วแต่สติ แล้วแต่ปัญญา
บางคนอยากได้มรรคผลนิพพานเพราะว่ามันดี มันสุข มันสงบนั่นแหละ

ตะเกียกตะกายนะหาสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อย
คิดว่าถ้าเราฝึกได้ดีเต็มที่แล้ววันหนึ่งจิตเราจะดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร เพราะคิดว่าจิตเป็นเรานั่นแหละ
คิดจะทำให้มันดีให้ได้ คิดจะทำให้มันสุขให้ได้ คิดจะทำให้มันสงบให้ได้
ดีชั่วคราว สุขชั่วคราว สงบชั่วคราว ก็ไม่พอใจ จะเอาถาวร

สุดท้าย พากเพียรแทบล้มแทบตายก็พบว่าดีก็ชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว สงบก็ชั่วคราว
จิตผู้รู้ก็ชั่วคราว อะไรๆก็ชั่วคราวหมดเลย ไม่เห็นมีตรงไหนเลยที่มันจะถาวรได้

จิตยอมรับความจริงตรงนี้ได้ จิตก็หมดแรงดิ้นนะ
จะดิ้นไปทำไมล่ะ ดิ้นหาดี หาสุข หาสงบ ดิ้นยังไงก็ไม่มี
มีก็มีชั่วคราวเดี๋ยวก็หายไปอีก นี่จิตจะหยุดแรงดิ้น หมดแรงดิ้น
จิตที่แรงดิ้นเพราะว่าดิ้นมาสุดขีดแล้วนะ สติก็สุดขีดแล้ว สมาธิก็สุดขีดแล้ว ปัญญาก็สุดขีดแล้ว
สติสุดขีดก็คือ ไม่เจตนาจะรู้ ก็รู้..รู้..รู้ทั้งวันเลย รู้ทั้งคืนด้วย
สมาธิก็จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อยู่อย่างนี้ ไม่เป็นผู้หลงนะ
อย่างมากก็หลงแว๊บๆ ก็กลับมาเป็นผู้รู้อย่างรวดเร็ว
จะทำสมาธิให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะทำสติให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง
จะเจริญปัญญาให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงนะ มันจนมุมไปหมดเลย
คือ สติก็ทำมาจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว สมาธิก็ทำจนไม่รู้จะทำยังไง
ปัญญาก็ไม่รู้จะพลิกแพลงไปพิจารณาอะไรอีกต่อไปแล้ว

เนี่ยจิตถ้าภาวนามาสุดขีดนะมันจะเข้ามาสู่ภาวะแห่งความจนมุม
มันจะหยุดแรงดิ้น มันจะหมดความอยากว่าทำยังไงจะพ้นทุกข์ได้
ทำยังไงจะสุขถาวร ทำยังไงจะดีถาวร ทำยังไงจะสงบถาวร

เพราะมันดิ้นมาจนสุดฤทธิ์สุดเดชแล้ว ก็ไม่รู้จะทำยังไง ทำไม่ได้สักที
พอจิตหมดแรงดิ้นนะ จิตก็สักว่ารู้ว่าเห็น ตรงนี้แหละสักว่ารู้ว่าเห็นขึ้นมา
อย่างที่พวกเราพูดว่าสักว่ารู้ว่าเห็น ไม่จริงหรอก ไม่ยอมสักว่ารู้ว่าเห็นหรอก
มีแต่ว่าทำยังไงจะดีกว่านี้อีก ทำยังไงดี ทำยังไงจะดี ทำยังไงจะถูก
รู้สึกไหมแต่ละวัน นักปฏิบัติตื่นนอนก็คิดวันนี้จะทำยังไงดี

คิดอย่างนี้แหละนะ จนกระทั่งมันสุดสติสุดปัญญา ทำยังไงมันก็ดีกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว
ยอมรับสภาพมัน จิตหมดแรงดิ้น จิตหมดความปรุงแต่ง หมดแรงดิ้นรน
พอจิตไม่มีความปรุงแต่ง ไม่มีความดิ้นรน อยู่ตรงนี้ช่วงหนึ่งนะ
พอจิตหมดแรงดิ้นก็ไม่ปรุง อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้ อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้ ไม่ปรุงต่อ
จิตก็เรียกว่าจิตเข้าถึงความเป็นอนุโลม

อนุโลมญาณ หมายถึงว่าอะไรเกิดขึ้นก็คล้อยตามมันไป
คล้อยตามนี่ไม่ใชหลงตามมันไป ก็แค่เห็นนะ เออ ก็มีขึ้นมา เออ หายไป ก็แค่นั้นเองนะ
ไม่ต่อต้าน ไม่หลงตามไป ยอมรับ มันมาก็มา มันไปก็ไป
นี่จิตมีอุเบกขาอย่างแท้จริงเลยนะ คล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เห็นแต่ความจริง
ทุกอย่างมาแล้วก็ไปมาแล้วก็ไป นี่จิตเห็นอยู่แค่นี้เอง
นี่ถ้าจิต สติ สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา บุญบารมีอะไรแก่รอบแล้วนะ
จิตหยุดความปรุงแต่งแล้วมันจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ
รวมเอง ทำไมมันรวมเข้าอัปปนาสมาธิได้เอง เพราะว่าจิตไม่ไหลไปตามกาม ฌานมันจะเกิดเอง

โดยธรรมชาติของจิตนี่ต้องเวียนอยู่ในภพ ภพที่จิตเวียนอยู่ได้มี ๓ ภพเท่านั้น
หนึ่ง กามาวจรภพ ภพที่เวียนไปในกาม
คือหาอารมณ์เพลิดเพลินไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพลินไปเรื่อย
พวกเราจิตหมุนอยู่ติ้วๆ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย นึกออกไหม
อันนี้แหละเรียกว่ากามภพ เรียกให้เต็มยศนะเรียก กามาวจรภูมิ ใจก็ไปเวียนอย่างนี้
ถ้าหลุดออกจากกามภพนะ ก็เข้าไป รูปภพ หรือว่า รูปภูมิ
ก็คือเข้าไปสงบอยู่กับการรู้รูป เช่นรู้ลมหายใจ แล้วจิตไม่เอาแล้วโลกข้างนอก
อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่เห็นจะมีสาระอะไร จิตมารวมลงที่อารมณ์ภายในอันเดียว
อาจจะมารู้ลมหายใจอยู่อันเดียว รู้ร่างกายอยู่อันเดียว มาเพ่งรูปอยู่อันเดียว
เพ่งดวงกสิณ ดวงนิมิตอยู่อันเดียว จิตเพ่งรูปอยู่เรียกว่ารูปภูมิ
ถ้าจิตไม่อยู่ในกามภูมิ ไม่อยู่ในรูปภูมิ จิตก็ต้องเข้า อรูปภูมิ
ทิ้งรูปไปแล้วไปอยู่กับนามธรรม เช่นไปอยู่กับความว่าง จิตอยู่ในความว่าง อยู่กับความไม่มีอะไรเลย
เพราะงั้นที่เค้าสอนภาวนา บางคนสอนภาวนาให้ไปอยู่ในความว่าง อันนั้นเพี้ยนนะ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอรูปภูมิ เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่ง เป็นภพอีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง

งั้นถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลยจิตมันแส่ส่ายออกทางตาหูจมูกลิ้นกายมีแต่ทุกข์
จิตไม่แส่ส่าย พอจิตไม่แส่ส่ายจิตก็หลุดออกจากกามภูมิ เข้ารูปภูมิหรืออรูปภูมิ เข้าเองเลย
เพราะงั้นพวกเราหัดเจริญสติไปเรื่อย พอศีลสมาธิปัญญา สติสมาธิปัญญาแก่รอบนะ
จิตจะหมดความหลงไหลรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลายมาดึงดูดจิตไหลไปไม่ได้แล้ว
อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นแหละ
ถ้าจิตมันตั้งมั่นรู้ไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้งเด่นดวงอยู่ จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ

เพราะงั้นถึงเราจะเจริญสติเจริญปัญญาโดยเข้าฌานไม่เป็น
ถึงนาทีสุดท้ายที่จะเกิดอริยมรรคอริยผลในทุกขั้นตอน
ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตมรรคเนี่ย จิตจะเข้าฌานของเค้าเอง
ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิดอริยมรรคไม่ต้องถอยออกมาอยู่ในโลกก่อนนะ
ไม่ต้องกลับมาอยู่กามภูมิก่อนนะ จิตเค้าจะตัดอยู่ข้างในได้เลย นี่เป็นพวกหนึ่ง
แต่รวมความก็คืออริยมรรคไม่เกิดอยู่ในจิตที่อยู่ในกามอย่างพวกเรา

อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น
จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ
ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต
เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต
ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ
ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร
ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร
จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 16:21 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

รู้ทันใจถ้าเราตามรู้จิตใจของเราทุกวันๆ เราจะเห็นเลย ความสุขอยู่ชั่วคราว แล้วก็หาย ความทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย โลภ โกรธ หลง อยู่ชั่วคราว แล้วก็หาย กุศลอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป ถ้าตามดูอย่างนี้นานๆไปนะ จิตมันยอมรับความจริงว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ความสุขเกิดขึ้นจิตไม่หลงระเริง ความทุกข์เกิดขึ้นจิตไม่กลุ้มใจ จิตมันจะเป็นกลาง ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไปรู้เข้า จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง นี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ นี่เป็นคือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล พอมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่ปรุงแต่งต่อ อย่างถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะปรุงแต่งต่อ เช่น ความโกรธเกิดขึ้น อยากให้หาย ก็ต้องหาทางทำให้หาย เห็นมั้ยปรุงแต่งต่อล่ะ ความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ ต้องหาทางรักษา นี่ปรุงแต่งต่อ มีการทำงาน แต่ถ้ามันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง ตามรู้ตามดูจนมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาแก่รอบ จิตใจยอมรับความจริง ยอมรับไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ถึงจุดนี้เนี่ย มันจะเป็นรอยแยก พวกที่หวังพุทธภูมินะ ก็มีโอกาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พยากรณ์จากหมอดูนะ ต้องพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ได้หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่หวังความพ้นทุกข์นะ จิตมีโอกาสที่จะเกิดมรรคผลได้ เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔ พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะ จิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่ง พวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่ อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลย ขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย กระทั่งสติ พวกนี้หลงไปล่ะ คิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลย นี่พวกอุจเฉททิฐินะ นิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ สภาวะของนิพพานคือสันติ คือความสงบนั่นเอง สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากอะไร สงบจากความปรุงแต่ง สงบจากอะไร สงบจากการแบกหามขันธ์นะ ดังนั้นเราภาวนานะ

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 16:15 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

บ้านเกิดเมืองนอน

บ้านเมืองเรารุ่งเรืองพร้อมอยู่หมู่เหล่า พวกเราล้วนพงศ์เผ่าศิวิไลซ์

เพราะฉะนั้นควรจะยินดี เปรมปรีดิ์ดีใจเรียกตนว่าไทย แดนดินผืนใหญ่มิใช่ทาษเขา

ก่อนนี้มีเขตแดนนับว่ากว้างใหญ่ ได้ไว้พลีเลือดเนื้อแลกเอา
รบ รบ รบ ไม่หวั่นใคร มอบความเป็นไทยพวกเรา แต่ครั้งนานกาลเก่า ชาติเราเขาเรียกชาติไทย

บ้านเมืองควรประเทืองไว้ดั่งแต่ก่อน แน่นอนเนื้อและเลือดพลีไป
เพราะฉะนั้นเราควรเปรมปรีดิ์ มีความภูมิใจแดนดินถิ่นไทย รวบรวมไว้ได้แสนจะยากเข็ญ

ยากแค้นเคยกู้แดนไว้อย่างบากบัน ก่อนนั้นเคยแตกฉานซ่านเซ็น
แม้กระนั้นยังร่วมใจ รวบรวมชาวไทยให้ร่มเย็น บัดนี้ไทยดีเด่น ร่มเย็นผาสุกเรื่อยมา

อยู่กินบนแผ่นดินท้องถิ่นกว้างใหญ่ ชาติไทยนั้นเคยใหญ่ในบูรพา
ทุก ๆ เช้าเราดูธงไทย ใจจงปรีดาว่าไทยอยู่มา ด้วยความผาสุกถาวรสดใส
บัดนี้ไทยเจริญวิสุทธิ์ผุดผ่อง พี่น้องจงแซ่ร้องชาติไทย

รักษาไว้ให้มั่นคง เทอญธงไตรรงค์ให้เด่นไกล ชาติเชื้อเรายิ่งใหญ่ ชาติไทยบ้านเกิดเมืองนอน
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 16:10 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ตื่นเถิดไทย

เราเผ่าไทย ต่างคนจากแดนไกลต่างมารวมใจ สามัคคีทุกหมู่เหล่า พวกเราพร้อมพรั่งงามถิ่นเรา ถิ่นไทย ในแดนทองแหล่งดีคนปอง ไทยเข้าครองต้องรวมกัน ผูกพันรักเผ่าโบราณนานมาชาติไทยแกร่งเกรียงไกรกล้าฝ่าฟันมาทุกเวลาไม่หวั่นพรั่นพรึงอันตราย ผ่านความลำเค็ญร้อนเย็นมิหน่าย ทอดกายเป็นชาติพลีตื่นเถิดไทย มาพร้อมใจน้องพี่เราเลือดไทยเสรี ปฐพีรักยิ่งตื่นเถิดไทย จงพร้อมใจทุกฝ่ายเรามิยอมแพ้พ่าย ศัตรูร้ายมุ่งโบราณนานมา ชาติไทยแกร่งเกรียงไกรกล้าฝ่าฟันมาทุกเวลาไม่หวั่นพรั่นพรึงอันตราย ผ่านความลำเค็ญร้อนเย็นมิหน่าย ทอดกายเป็นชาติพลี
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 16:08 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ลูกพระพุทธเจ้า ศิษย์ตถาคตลูกพระพุทธเจ้า ศิษย์ตถาคต - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=MVZIejTcB6E วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 5:48 30 ส.ค. 2554 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol พระพุทธเจ้า...กับ...มังสวิรัติ หลายที่หลายแห่งนานาประเทศทั่วโลก มีผู้คนส่วนหนึ่งพากันดำรงชีวิตอยู่ ด้วยการอาศัยอาหาร ที่ได้มาจากพืชผัก และนมเนย ... ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=e6qOYw6hJjA วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 2:43 19 เม.ย. 2559 - อัปโหลดโดย สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ เราต้องค่อยๆ ดูไป ฝึกไปเรื่อยๆ พอสันตติขาดแล้วจะสั่นสะเทือนขึ้นมาเลย บางคนรู้สึกกลัว บางคนรู้สึกเบื่อ บางคนรู้สึกโหวงๆ ตัวเราหายไปแล้ว โหวงๆ เวิ้งว้างหาที่พึ ... ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=pW5PCEc7Yw8 วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 5:18 29 ต.ค. 2558 - อัปโหลดโดย สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ ร่างกายมันไม่ใช่เราตั้งแต่เริ่มหัดเจริญสติแล้ว พอจิตเราตั้งมั่นขึ้นมา เราจะเห็นเลยว่าร่างกายมันอยู่ต่างหากแล้ว เหลือแต่จิตอันเดียวนี่แหละรู้สึกว่าวิ่งไปวิ่งม... ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=0aK64iPbkiI วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 2:07 6 เม.ย. 2560 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol ข้ามเข้ามา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงวิญญาณธาตุ ธาตุรู้แท้ๆแล้ว ธรรมธาตุ ตัวนี้ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่นี้ ถูกอริยมรรคแหวกออก แหวกออก. ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=gjDhAi8DcVU วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 7:08 29 ต.ค. 2560 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol ถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลยจิตมันแส่ส่ายออกทางตาหูจมูกลิ้นกายมีแต่ทุกข์ จิตไม่แส่ส่าย พอจิตไม่แส่ส่ายจิตก็หลุดออกจากกามภูมิ เข้ารูปภูมิหรืออรูปภูมิ เข้าเองเ ... ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=urX-VKAD-Lo วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 4:22 6 ก.ย. 2561 - อัปโหลดโดย สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ เราเห็นตัวการ์ตูนเคลื่อนไหวได้ฉันใด เราก็เห็นจิตวิ่งไปวิ่งมาได้ฉันนั้น นี่เป็นความหลงผิด นี่เป็นภาพลวงตาเท่านั้นเอง แท้จริงจิตก็เกิดดับ เกิดดับเหมือนการ์ตูนท... เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพ่อแม่ เราต้องรู้กายรู้ใจของเรา ... - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=phic32-FnWw วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 31:18 2 ม.ค. 2561 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพ่อแม่ เราต้องรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราจะได้มรดกของพระพุทธเจ้า กายนี้ใจนี้ทุกข์ล้วนล้วนถึงจุดหนึ่งที่ปัญญ... ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=9I2GxwkjvJ8 วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 9:29 4 ม.ค. 2559 - อัปโหลดโดย หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนา หลวงพ่อและท่านอาจารย์ มากครับที่กรุณา ให้โอกาส บุคคลรู้แจ้งในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว จากผู้ใด ... ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=pIkLi1bZZ5Q วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 49:53 49 นาทีที่ผ่านมา - อัปโหลดโดย สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ ผู้สละโลกและพระอานนท์พระพุทธอนุชาเป็นผลของของท่าน#อาจารย์วศินอินทสระ ผลงานของ ให้เสียงบรรยายโดย ท่านมนัส ทองเพชรนิล ในความอุปถัมภ์ของ ... ลูกพระพุทธเจ้า - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=57UUlD2EkcU วิดีโอสำหรับ ลูกพระพุทธเจ้า▶ 7:42 11 ก.ค. 2561 - อัปโหลดโดย สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง "ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่" ท่านยืนยันว่าลูกศิษย์ของท่าน ...

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 12:08 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อย่าดูถูกสัตว์เดรัจฉาน(พระภูริทัต2)อย่าดูถูกสัตว์เดรัจฉาน

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 11:59 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อย่าดูถูกสัตว์เดรัจฉาน(พระภูริทัต2)อย่าดูถูกสัตว์เดรัจฉาน

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 11:58 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สังขารุเบกขา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง ถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะ ความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ มันเป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง พอจิตดวงเก่ามันดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมันดับไป มันทวนกระแสเข้าหาจิตที่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้นะ คาบลูกคาบดอก ไม่ได้เกาะขันธ์แล้วนะ แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตะธาตุอมตะธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ข้ามโคตรจากโคตรไหนมาสู่โคตรไหน? จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะงั้นบรรลุมรรคผลแล้วเปลี่ยนโคตรนะ ข้ามจากสกุลของปุถุชน ข้ามมาสู่อริยวงศ์อริยโคตร เรียกญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้ ข้ามมา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุรู้แท้ๆ ธรรมธาตุ ตัวนี้อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ถูกอริยมรรคแหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียวเลย ขาดเลย มันคล้ายๆเปิดสวิตซ์ไฟ ปั๊บ สว่างวุ๊บเดียวความมืดหายไปเลย ในพริบตานั้นเลย จากนั้นนะจะเห็นพระนิพพานอีกสองสามขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็นสองขณะ บางคนเห็นสามขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็นสามขณะ พวกอินทรีย์ยังไม่กล้ามากก็เห็นสองขณะนะ งั้นพระอริยะในภูมิธรรมอันเดียวกันระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพานแล้วก็รู้ว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ แต่โง่เองไม่เห็น ทำไมไม่เห็น? มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เค้าปล่อยน่ะเค้าข้าม เค้าทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตร ข้ามจากปุถุชนมาเป็นพระอริยะ ข้ามตรงนี้มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละนะ ถ้ามันพอเมื่อไหร่มันก็ข้ามโคตรไป เปลี่ยนสกุลไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่แล้ว ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 11:43 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สังขารุเบกขา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง ถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะ ความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ มันเป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง พอจิตดวงเก่ามันดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมันดับไป มันทวนกระแสเข้าหาจิตที่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้นะ คาบลูกคาบดอก ไม่ได้เกาะขันธ์แล้วนะ แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตะธาตุอมตะธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ข้ามโคตรจากโคตรไหนมาสู่โคตรไหน? จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะงั้นบรรลุมรรคผลแล้วเปลี่ยนโคตรนะ ข้ามจากสกุลของปุถุชน ข้ามมาสู่อริยวงศ์อริยโคตร เรียกญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้ ข้ามมา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุรู้แท้ๆ ธรรมธาตุ ตัวนี้อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ถูกอริยมรรคแหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียวเลย ขาดเลย มันคล้ายๆเปิดสวิตซ์ไฟ ปั๊บ สว่างวุ๊บเดียวความมืดหายไปเลย ในพริบตานั้นเลย จากนั้นนะจะเห็นพระนิพพานอีกสองสามขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็นสองขณะ บางคนเห็นสามขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็นสามขณะ พวกอินทรีย์ยังไม่กล้ามากก็เห็นสองขณะนะ งั้นพระอริยะในภูมิธรรมอันเดียวกันระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพานแล้วก็รู้ว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ แต่โง่เองไม่เห็น ทำไมไม่เห็น? มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เค้าปล่อยน่ะเค้าข้าม เค้าทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตร ข้ามจากปุถุชนมาเป็นพระอริยะ ข้ามตรงนี้มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละนะ ถ้ามันพอเมื่อไหร่มันก็ข้ามโคตรไป เปลี่ยนสกุลไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่แล้ว ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 11:43 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สังขารุเบกขา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง ถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะ ความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ มันเป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง พอจิตดวงเก่ามันดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมันดับไป มันทวนกระแสเข้าหาจิตที่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้นะ คาบลูกคาบดอก ไม่ได้เกาะขันธ์แล้วนะ แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตะธาตุอมตะธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ข้ามโคตรจากโคตรไหนมาสู่โคตรไหน? จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะงั้นบรรลุมรรคผลแล้วเปลี่ยนโคตรนะ ข้ามจากสกุลของปุถุชน ข้ามมาสู่อริยวงศ์อริยโคตร เรียกญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้ ข้ามมา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุรู้แท้ๆ ธรรมธาตุ ตัวนี้อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ถูกอริยมรรคแหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียวเลย ขาดเลย มันคล้ายๆเปิดสวิตซ์ไฟ ปั๊บ สว่างวุ๊บเดียวความมืดหายไปเลย ในพริบตานั้นเลย จากนั้นนะจะเห็นพระนิพพานอีกสองสามขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็นสองขณะ บางคนเห็นสามขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็นสามขณะ พวกอินทรีย์ยังไม่กล้ามากก็เห็นสองขณะนะ งั้นพระอริยะในภูมิธรรมอันเดียวกันระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพานแล้วก็รู้ว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ แต่โง่เองไม่เห็น ทำไมไม่เห็น? มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เค้าปล่อยน่ะเค้าข้าม เค้าทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตร ข้ามจากปุถุชนมาเป็นพระอริยะ ข้ามตรงนี้มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละนะ ถ้ามันพอเมื่อไหร่มันก็ข้ามโคตรไป เปลี่ยนสกุลไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่แล้ว ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 11:43 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กรรมฐานเบาๆ เพื่อให้เกิดผลทันกับอายุที่จะสิ้นไป อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง ถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะ ความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ มันเป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง พอจิตดวงเก่ามันดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมันดับไป มันทวนกระแสเข้าหาจิตที่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้นะ คาบลูกคาบดอก ไม่ได้เกาะขันธ์แล้วนะ แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตะธาตุอมตะธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ข้ามโคตรจากโคตรไหนมาสู่โคตรไหน? จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะงั้นบรรลุมรรคผลแล้วเปลี่ยนโคตรนะ ข้ามจากสกุลของปุถุชน ข้ามมาสู่อริยวงศ์อริยโคตร เรียกญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้ ข้ามมา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุรู้แท้ๆ ธรรมธาตุ ตัวนี้อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ถูกอริยมรรคแหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียวเลย ขาดเลย มันคล้ายๆเปิดสวิตซ์ไฟ ปั๊บ สว่างวุ๊บเดียวความมืดหายไปเลย ในพริบตานั้นเลย จากนั้นนะจะเห็นพระนิพพานอีกสองสามขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็นสองขณะ บางคนเห็นสามขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็นสามขณะ พวกอินทรีย์ยังไม่กล้ามากก็เห็นสองขณะนะ งั้นพระอริยะในภูมิธรรมอันเดียวกันระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพานแล้วก็รู้ว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ แต่โง่เองไม่เห็น ทำไมไม่เห็น? มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เค้าปล่อยน่ะเค้าข้าม เค้าทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตร ข้ามจากปุถุชนมาเป็นพระอริยะ ข้ามตรงนี้มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละนะ ถ้ามันพอเมื่อไหร่มันก็ข้ามโคตรไป เปลี่ยนสกุลไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่แล้ว ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 11:29 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

อาจารย์ยอด : รวมเรื่องเล่าจากทางบ้าน NEW ฟังยาวๆ อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง ถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะ ความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ มันเป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง พอจิตดวงเก่ามันดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมันดับไป มันทวนกระแสเข้าหาจิตที่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้นะ คาบลูกคาบดอก ไม่ได้เกาะขันธ์แล้วนะ แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตะธาตุอมตะธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ข้ามโคตรจากโคตรไหนมาสู่โคตรไหน? จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะงั้นบรรลุมรรคผลแล้วเปลี่ยนโคตรนะ ข้ามจากสกุลของปุถุชน ข้ามมาสู่อริยวงศ์อริยโคตร เรียกญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้ ข้ามมา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุรู้แท้ๆ ธรรมธาตุ ตัวนี้อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ถูกอริยมรรคแหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียวเลย ขาดเลย มันคล้ายๆเปิดสวิตซ์ไฟ ปั๊บ สว่างวุ๊บเดียวความมืดหายไปเลย ในพริบตานั้นเลย จากนั้นนะจะเห็นพระนิพพานอีกสองสามขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็นสองขณะ บางคนเห็นสามขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็นสามขณะ พวกอินทรีย์ยังไม่กล้ามากก็เห็นสองขณะนะ งั้นพระอริยะในภูมิธรรมอันเดียวกันระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพานแล้วก็รู้ว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ แต่โง่เองไม่เห็น ทำไมไม่เห็น? มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เค้าปล่อยน่ะเค้าข้าม เค้าทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตร ข้ามจากปุถุชนมาเป็นพระอริยะ ข้ามตรงนี้มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละนะ ถ้ามันพอเมื่อไหร่มันก็ข้ามโคตรไป เปลี่ยนสกุลไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่แล้ว ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 11:26 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

Yaryar Rigu Bhutanese Music Video Traditional Song & Dance

#ถ้าจิตเราเป็นกลางเราไม่ได้มุ่งพุทธภูมิเราไม่ได้ทำกรรมชั่วหยาบมา

#จิตเราจะก้าวกระโดดเกิดอริยมรรคขึ้นมาขั้นแรกมันจะรวมลงก่อนรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเองโดยที่ไม่ได้เจตนาจะรวม ไม่ได้คิดได้ฝันที่จะรวม
รวมโดยอัตโนมัติเมื่อรวมลงมาแล้วจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับเกิดดับสองขณะบ้างสามขณะบ้าง
#ถัดจากนั้นจิตจะวางการรับรู้อารมณ์ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้เมื่อทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังจิตอยู่คืออาสวกิเลสทั้งหลาย สังโยชน์ทั้งหลายถูกขาดสะบั้นออกไปด้วยกำลังของอริยมรรค นิพพานก็จะปรากฏเด่นดวงขึ้นมาให้เรารู้สึกได้ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง คนไหนซึ่งอินทรีย์ไม่แก่กล้ามาก ตอนที่จิตรวมไปทีแรก เห็นสภาวธรรมก็จะเห็นสามครั้ง แล้วพอเห็นนิพพานพอได้ผลจะเห็นสองขณะ แต่คนที่อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะทีแรกจะเห็นสองขณะ และจะมาเห็นนิพพานสามขณะ เห็นยาวต่างกัน อินทรีย์ไม่เท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เท่ากัน ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกจาก อัปปนาสมาธิ นะ ถอยเอง ถัดจากนั้นไม่ทรงอยู่แล้วจะถอยออกมา พอถอยออกมาแล้วจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า เมื่อกี้นี้ตัวตนอะไรไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกเลย แต่ว่ากิเลสยังเหลืออยู่อีกเพียบเลย พระโสดาบันกับปุถุชนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันนะ พระโสดาบันละมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น ละความเห็นผิดได้ ส่วนโลภ โกรธ หลงอื่นๆ เหมือนปุถุชนนั่นเอง
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 01:47 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

Yaryar Rigu Bhutanese Music Video Traditional Song & Dance

#ถ้าจิตเราเป็นกลางเราไม่ได้มุ่งพุทธภูมิเราไม่ได้ทำกรรมชั่วหยาบมา

#จิตเราจะก้าวกระโดดเกิดอริยมรรคขึ้นมาขั้นแรกมันจะรวมลงก่อนรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเองโดยที่ไม่ได้เจตนาจะรวม ไม่ได้คิดได้ฝันที่จะรวม
รวมโดยอัตโนมัติเมื่อรวมลงมาแล้วจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับเกิดดับสองขณะบ้างสามขณะบ้าง
#ถัดจากนั้นจิตจะวางการรับรู้อารมณ์ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้เมื่อทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังจิตอยู่คืออาสวกิเลสทั้งหลาย สังโยชน์ทั้งหลายถูกขาดสะบั้นออกไปด้วยกำลังของอริยมรรค นิพพานก็จะปรากฏเด่นดวงขึ้นมาให้เรารู้สึกได้ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง คนไหนซึ่งอินทรีย์ไม่แก่กล้ามาก ตอนที่จิตรวมไปทีแรก เห็นสภาวธรรมก็จะเห็นสามครั้ง แล้วพอเห็นนิพพานพอได้ผลจะเห็นสองขณะ แต่คนที่อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะทีแรกจะเห็นสองขณะ และจะมาเห็นนิพพานสามขณะ เห็นยาวต่างกัน อินทรีย์ไม่เท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เท่ากัน ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกจาก อัปปนาสมาธิ นะ ถอยเอง ถัดจากนั้นไม่ทรงอยู่แล้วจะถอยออกมา พอถอยออกมาแล้วจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า เมื่อกี้นี้ตัวตนอะไรไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกเลย แต่ว่ากิเลสยังเหลืออยู่อีกเพียบเลย พระโสดาบันกับปุถุชนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันนะ พระโสดาบันละมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น ละความเห็นผิดได้ ส่วนโลภ โกรธ หลงอื่นๆ เหมือนปุถุชนนั่นเอง
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 01:47 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

3 บทสวดมนต์ รับอรุณ สวดมนต์ทุกเช้า เพื่อความสงบ ร่มเย็น พร้อมรับวันใหม่

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 14:31 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลกนิพพาน - วิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/นิพพาน นิพพาน (บาลี: निब्बान nibbāna นิพฺพาน; สันสกฤต: निर्वाण nirvāṇa นิรฺวาณ) หมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ ... ‎หลักฐานในคัมภีร์ · ‎ในพระไตรปิฎก · ‎ในอรรถกถา นิพพานคืออะไร - Pantip https://pantip.com/topic/30892923 14 ก.พ. 2561 - เวลาผ่านมา นิพพานกลายเป็นจิตว่างซะงั้น แล้วจิตว่างคืออะไร ศัพท์มันตกยุคไปแล้ว คนสมัยนี้ฟังแล้วแค่รู้สึกเท่ แต่ไม่เข้าใจสักนิด สำหรับผม นิพพานแปลง่ายๆ ว่า ... นิพพาน - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=dU8tV72Om5U วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 4:30 31 พ.ค. 2559 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol อันแรกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในใจ อันที่สองรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเรา ถ้ารู้อย่างนี้แหละถึงเป็นทางสายเอกทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าเราสามา... การนิพพาน คืออะไร แล้วทำอย่างไรถึงจะได้มาซึ่ง นิพพาน - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=Hyk1S-xSW9w วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 11:47 28 มิ.ย. 2561 - อัปโหลดโดย คติธรรมสอนใจ กฏของการไปนิพพาน คำว่า นิพพาน เป็นคำที่ใช้กันในปรัชญาหลายระบบในอินเดีย โดยใช้ในความหมายของการหลุดพ้น ... นิพพาน คืออะไร ? - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=qMkEiMXLooc วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 5:45 27 พ.ค. 2557 - อัปโหลดโดย The Buddha Code สิ่งสิ่งหนึ่ง มีชื่อเรียกหลายชื่อ อสังขตะ นิพพาน วิมุตติ อมตะ(ธรรมอันไม่ตาย หรือความจริงอันไม่ตาย) ที่ที่ไม่เสื่อม, ธรรมอันเป็นเกาะ -------------------------... สภาวะพระนิพพาน [เสียงอ่าน ถาม - ตอบ] - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=ttEfYm1KPOo วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 11:18 8 ก.ย. 2559 - อัปโหลดโดย ธรรมะ ไปนิพพาน สภาวะพระนิพพาน [เสียงอ่าน ถาม - ตอบ] ธรรมะก่อนนอน ธรรมะ กับ ชีวิต ธรรมะ ความ-รัก ธรรมะ ความรัก ธรรมะ สอน ใจ สั้น ๆ ธรรมะ สอนใจ ธรรมะสอนใจ ธรรมะ mp3 ... นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลก - YouTube https://www.youtube.com/watch?v=pdGovvHhmzk วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 13:49 13 ก.ค. 2560 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol นิพพานสูตรสฬายตนวรรคสังยุตตนิกาย ท่านก็พูดถึงว่า ราคากฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย นี่เรียกว่า นิพพาน ชัมพุขาทกะ ถามว่า นิพพานคืออะไร พระสารีบุตรก็ตอบว่า ... นิพพาน - ปฏิจจสมุปบาท www.nkgen.com/22.htm “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ. ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ......" ภิกขุสูตร ที่ ๒ ... นิพพานสำหรับทุกคน - พุทธทาส www.buddhadasa.com/shortbook/nippanforall.html นี่ขอให้เข้าใจเถิดว่า นิพพานมีสำหรับทุกคนตามมากตามน้อย; เหมือนกับว่า สระใหญ่สระหนึ่ง สัตว์ชนิดไหนก็ลงไปอาบไปกินได้ เขียดตัวเล็กๆ ก็ลงไปอาบไปกินอยู่ได้ ช้างตัวโตๆ ... นิพพาน คือ อะไร | ศูนย์ปฏิบัติธรรม ตาณัง เลณัง https://tananglaenang.wordpress.com/2014/05/17/84/ 17 ธ.ค. 2559 - หนังสือ นิพพานกถา โดย...พระมหาสีสยาดอ ดาวน์โหลดหนังสือคลิกที่นี่ >>> หนังสือนิพพานกถา นิพพาน คือ อะไร นิพพาน หมายถึง ... การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ นิพพาน นิพพาน นิโรธ นิพพาน ประกอบด้วย สภาวะนิพพาน นิพพาน ความหมาย ลักษณะของนิพพาน นิพพาน 2 ประเภท นิพพาน pantip หลักธรรม นิพพาน

เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 14:38 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลก



นิพพาน - วิกิพีเดีย

https://th.wikipedia.org/wiki/นิพพาน
นิพพาน (บาลี: निब्बान nibbāna นิพฺพาน; สันสกฤต: निर्वाण nirvāṇa นิรฺวาณ) หมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ ...
‎หลักฐานในคัมภีร์ · ‎ในพระไตรปิฎก · ‎ในอรรถกถา

นิพพานคืออะไร - Pantip


https://pantip.com/topic/30892923
14 ก.พ. 2561 - เวลาผ่านมา นิพพานกลายเป็นจิตว่างซะงั้น แล้วจิตว่างคืออะไร ศัพท์มันตกยุคไปแล้ว คนสมัยนี้ฟังแล้วแค่รู้สึกเท่ แต่ไม่เข้าใจสักนิด สำหรับผม นิพพานแปลง่ายๆ ว่า ...

นิพพาน - YouTube


https://www.youtube.com/watch?v=dU8tV72Om5U
วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 4:30
31 พ.ค. 2559 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol
อันแรกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในใจ อันที่สองรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเรา ถ้ารู้อย่างนี้แหละถึงเป็นทางสายเอกทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าเราสามา...

การนิพพาน คืออะไร แล้วทำอย่างไรถึงจะได้มาซึ่ง นิพพาน - YouTube


https://www.youtube.com/watch?v=Hyk1S-xSW9w
วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 11:47
28 มิ.ย. 2561 - อัปโหลดโดย คติธรรมสอนใจ
กฏของการไปนิพพาน คำว่า นิพพาน เป็นคำที่ใช้กันในปรัชญาหลายระบบในอินเดีย โดยใช้ในความหมายของการหลุดพ้น ...

นิพพาน คืออะไร ? - YouTube


https://www.youtube.com/watch?v=qMkEiMXLooc
วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 5:45
27 พ.ค. 2557 - อัปโหลดโดย The Buddha Code
สิ่งสิ่งหนึ่ง มีชื่อเรียกหลายชื่อ อสังขตะ นิพพาน วิมุตติ อมตะ(ธรรมอันไม่ตาย หรือความจริงอันไม่ตาย) ที่ที่ไม่เสื่อม, ธรรมอันเป็นเกาะ -------------------------...

สภาวะพระนิพพาน [เสียงอ่าน ถาม - ตอบ] - YouTube


https://www.youtube.com/watch?v=ttEfYm1KPOo
วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 11:18
8 ก.ย. 2559 - อัปโหลดโดย ธรรมะ ไปนิพพาน
สภาวะพระนิพพาน [เสียงอ่าน ถาม - ตอบ] ธรรมะก่อนนอน ธรรมะ กับ ชีวิต ธรรมะ ความ-รัก ธรรมะ ความรัก ธรรมะ สอน ใจ สั้น ๆ ธรรมะ สอนใจ ธรรมะสอนใจ ธรรมะ mp3 ...

นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลก - YouTube


https://www.youtube.com/watch?v=pdGovvHhmzk
วิดีโอสำหรับ นิพพาน▶ 13:49
13 ก.ค. 2560 - อัปโหลดโดย Sompong Tungmepol
นิพพานสูตรสฬายตนวรรคสังยุตตนิกาย ท่านก็พูดถึงว่า ราคากฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย นี่เรียกว่า นิพพาน ชัมพุขาทกะ ถามว่า นิพพานคืออะไร พระสารีบุตรก็ตอบว่า ...

นิพพาน - ปฏิจจสมุปบาท


www.nkgen.com/22.htm
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ. ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ......" ภิกขุสูตร ที่ ๒ ...

นิพพานสำหรับทุกคน - พุทธทาส


www.buddhadasa.com/shortbook/nippanforall.html
นี่ขอให้เข้าใจเถิดว่า นิพพานมีสำหรับทุกคนตามมากตามน้อย; เหมือนกับว่า สระใหญ่สระหนึ่ง สัตว์ชนิดไหนก็ลงไปอาบไปกินได้ เขียดตัวเล็กๆ ก็ลงไปอาบไปกินอยู่ได้ ช้างตัวโตๆ ...

นิพพาน คือ อะไร | ศูนย์ปฏิบัติธรรม ตาณัง เลณัง


https://tananglaenang.wordpress.com/2014/05/17/84/
17 ธ.ค. 2559 - หนังสือ นิพพานกถา โดย...พระมหาสีสยาดอ ดาวน์โหลดหนังสือคลิกที่นี่ >>> หนังสือนิพพานกถานิพพาน คือ อะไร นิพพาน หมายถึง ...

การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ นิพพาน

นิพพาน นิโรธ
นิพพาน ประกอบด้วย
สภาวะนิพพาน
นิพพาน ความหมาย
ลักษณะของนิพพาน
นิพพาน 2 ประเภท
นิพพาน pantip
หลักธรรม นิพพาน
เขียนโดย เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต ที่ 14:31 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

  • ►  2021 (14)
    • ►  มีนาคม (1)
    • ►  กุมภาพันธ์ (1)
    • ►  มกราคม (12)
  • ►  2020 (84)
    • ►  ธันวาคม (1)
    • ►  พฤศจิกายน (2)
    • ►  เมษายน (81)
  • ▼  2018 (1284)
    • ▼  พฤศจิกายน (232)
      • อริยมรรค
      • videoplayback 3
      • อริยทัศน์ อินเดีย : ตรัสรู้ สัมมาสัมโพธิญาณ
      • อริยทัศน์ อินเดีย : ตรัสรู้ สัมมาสัมโพธิญาณ
      • อริยทัศน์ อินเดีย : ตรัสรู้ สัมมาสัมโพธิญาณ
      • ทางสายกลาง
      • ทางสายกลางเวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอ...
      • นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลกนิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจา...
      • สถานที่ปรินิพพาน กุสินารา Mahaparinirvana Temple -...
      • สถานที่ปรินิพพาน กุสินารา Mahaparinirvana Temple -...
      • สถานที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พุทธคยา - Bodh...
      • Kolkata City Tour Within 5 Minutes 2018 | Kolkata ...
      • 360 video: View of Jama Masjid, Delhi, India#สัจจะ...
      • บ้านเกิดเมืองนอนบ้านเมืองเรารุ่งเรืองพร้อมอยู่หมู่...
      • นิพพาน
      • นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรา...
      • นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรา...
      • จิตหมดแรงดิ้น
      • รู้ทันใจถ้าเราตามรู้จิตใจของเราทุกวันๆ เราจะเห็นเล...
      • บ้านเกิดเมืองนอน
      • ตื่นเถิดไทย
      • ลูกพระพุทธเจ้า ศิษย์ตถาคตลูกพระพุทธเจ้า ศิษย์ตถาคต...
      • หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อย่าดูถูกสัตว์เดรัจฉาน(พระ...
      • หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อย่าดูถูกสัตว์เดรัจฉาน(พระ...
      • สังขารุเบกขา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออ...
      • สังขารุเบกขา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออ...
      • สังขารุเบกขา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออ...
      • หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กรรมฐานเบาๆ เพื่อให้เกิดผลทันกับอ...
      • อาจารย์ยอด : รวมเรื่องเล่าจากทางบ้าน NEW ฟังยาวๆ ...
      • Yaryar Rigu Bhutanese Music Video Traditional Song...
      • Yaryar Rigu Bhutanese Music Video Traditional Song...
      • 3 บทสวดมนต์ รับอรุณ สวดมนต์ทุกเช้า เพื่อความสงบ ร่...
      • นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลกนิพพาน - วิกิพีเดีย htt...
      • นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลก
      • นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลก
      • งานซ่อมระดับโลก EP.5 l ซ่อมเสาอากาศยักษ์ของนาซ่า ท...
      • งานซ่อมระดับโลก EP.5 l ซ่อมเสาอากาศยักษ์ของนาซ่า ท...
      • ทางพ้นทุกข์มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มน...
      • พระอริยะเจ้า
      • พระอริยะเจ้า
      • พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้ากราบขอบพระคุณ และอนุโมทน...
      • การซ่อมตัววัดความร้อนในเตาแม่เหล็กไฟฟ้าถ้าหาอะไหล่...
      • การซ่อมตัววัดความร้อนในเตาแม่เหล็กไฟฟ้า
      • จำหน่ายอะไหล่แอร์ขายอะไหล่แอร์ ห้องเย็น | ขายเครื่...
      • จำหน่ายอะไหล่แอร์ขายอะไหล่แอร์ ห้องเย็น | ขายเครื่...
      • จำหน่ายอะไหล่แอร์ขายอะไหล่แอร์ ห้องเย็น | ขายเครื่...
      • ที่สุดของโลกSompong Tungmepol - YouTube https://ww...
      • ทางมรรคผลนิพพานทางมรรคผล - วิชชา ธรรมกาย ปราบ มาร ...
      • หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง ตัดสังโยชน์ตัดการเวียนว่าย...
      • ลูกพระพุทธเจ้า#ถ้าสติปัญญาเราพอนะเรารู้เลยจิตมันแส...
      • นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลกนิพพาน - YouTube https:...
      • จิตทวนกระแส
      • 2. วิปัสสนาญาณ ๑๖ - ท่านเจ้าคุณโชดกสีเล ปติฏฺฐาย น...
      • 89 ปี อ ปราณี สำเริงราชย์ เล่าการปฎิบัติของท่าน ทำ...
      • 89 ปี อ ปราณี สำเริงราชย์ เล่าการปฎิบัติของท่าน ทำ...
      • 89 ปี อ ปราณี สำเริงราชย์ เล่าการปฎิบัติของท่าน ทำ...
      • นิพพานนิพพาน - วิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org...
      • ทางพ้นทุกข์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดแล ผู้ทรงขจ...
      • EP19 วิธีหุงข้าวบาร์เลย์
      • EP19 วิธีหุงข้าวบาร์เลย์
      • 2014/01/15 คลิปเด่น MV ตื่นเถิดไทย ชัตดาวน์กรุงเทพ...
      • พระนิพพานคืออะไร
      • นิพพานคืออะไร ธรรมพ้นจากโลกนิพพาน - YouTube https:...
      • นิพพานนิพพาน - YouTube https://www.youtube.com/wat...
      • ทางมรรคผล
      • ทางมรรคผล
      • หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เทศน์ เรื่อง บุคคลที่จะเข้าถึงนิพ...
      • วิมุตติสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการ แล้วจะ...
      • ทางมรรคผลนิพพาน
      • ทางมรรคผลนิพพาน
      • ทางมรรคผลนิพพาน
      • ทางมรรคผลนิพพาน
      • ชัวร์ก่อนแชร์
      • ข้ามทะเลทั้งสี่แล้วจะถึงจิตหนึ่งบุคคลผู้ใดซึ่งถึงไ...
      • เกิดมาป็นคนบุคคลผู้ใดซึ่งถึงไตรสรณะ ย่อมหลุดพ้นทุก...
      • นิพพานบุคคลผู้ใดซึ่งถึงไตรสรณะ ย่อมหลุดพ้นทุกข์ในว...
      • อิมินา สักกาเรนะ#พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู...
      • อิมินา สักกาเรนะ#พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู...
      • วุตโตทัยการปฏิบัติมันเหมือนพายเรือทวนน้ำ อย่างเราจ...
      • ทางสู่มรรค ผล นิพพาน
      • ทางสู่มรรค ผล นิพพาน
      • ยิ่งคิดยิ่งซึ้งรู้ทันใจตัวเองนะ หลวงปู่มั่นบอก ได้...
      • ทางนิพพาน
      • INDIA/Bodhgaya - Mahabodhi temple: an event - 2/5 -
      • ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี Buddha's Relics stupa, Vai...
      • พระคันธกุฎี เขาคิชกูฏ นครราชคฤห์ - Khundhakuti Gri...
      • พระคันธกุฎี เขาคิชกูฏ นครราชคฤห์ - Khundhakuti Gri...
      • วิธีการเข้าถึงพระนิพพาน
      • วิธีการเข้าถึงพระนิพพาน
      • ยิ่งคิดยิ่งซึ้ง
      • ยิ่งคิดยิ่งซึ้ง
      • ยิ่งคิดยิ่งซึ้ง
      • หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง ปฏิปทาปฏิบัติ
      • หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง ปฏิปทาปฏิบัติ
      • ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น
      • กิเลสที่พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะแล้ว พระองค์จะไม...
      • ลักษณะของบุคคลที่จะได้บรรลุธรรม
      • ลักษณะของบุคคลที่จะได้บรรลุธรรม
      • ทางมรรคผล
      • ทางมรรคผล
    • ►  ตุลาคม (106)
    • ►  กันยายน (45)
    • ►  สิงหาคม (77)
    • ►  กรกฎาคม (21)
    • ►  มิถุนายน (16)
    • ►  พฤษภาคม (32)
    • ►  เมษายน (94)
    • ►  มีนาคม (126)
    • ►  กุมภาพันธ์ (189)
    • ►  มกราคม (346)
  • ►  2017 (1674)
    • ►  ธันวาคม (315)
    • ►  พฤศจิกายน (443)
    • ►  ตุลาคม (530)
    • ►  กันยายน (14)
    • ►  สิงหาคม (208)
    • ►  กรกฎาคม (164)
  • ►  2016 (1231)
    • ►  มิถุนายน (187)
    • ►  พฤษภาคม (236)
    • ►  เมษายน (203)
    • ►  มีนาคม (106)
    • ►  กุมภาพันธ์ (197)
    • ►  มกราคม (302)
  • ►  2015 (2467)
    • ►  ธันวาคม (51)
    • ►  พฤศจิกายน (131)
    • ►  ตุลาคม (328)
    • ►  กันยายน (212)
    • ►  สิงหาคม (243)
    • ►  กรกฎาคม (261)
    • ►  มิถุนายน (290)
    • ►  พฤษภาคม (312)
    • ►  เมษายน (152)
    • ►  มีนาคม (141)
    • ►  กุมภาพันธ์ (152)
    • ►  มกราคม (194)
  • ►  2014 (1777)
    • ►  ธันวาคม (256)
    • ►  พฤศจิกายน (218)
    • ►  ตุลาคม (247)
    • ►  กันยายน (170)
    • ►  สิงหาคม (79)
    • ►  กรกฎาคม (289)
    • ►  มิถุนายน (265)
    • ►  พฤษภาคม (16)
    • ►  เมษายน (98)
    • ►  มีนาคม (112)
    • ►  กุมภาพันธ์ (23)
    • ►  มกราคม (4)
  • ►  2013 (178)
    • ►  ธันวาคม (7)
    • ►  พฤศจิกายน (16)
    • ►  ตุลาคม (14)
    • ►  กันยายน (20)
    • ►  สิงหาคม (39)
    • ►  กรกฎาคม (39)
    • ►  มิถุนายน (38)
    • ►  เมษายน (1)
    • ►  มีนาคม (3)
    • ►  กุมภาพันธ์ (1)
  • ►  2012 (7)
    • ►  ตุลาคม (1)
    • ►  กันยายน (1)
    • ►  สิงหาคม (1)
    • ►  มีนาคม (3)
    • ►  กุมภาพันธ์ (1)

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เต
จิตที่เดินมาถึงสังขารุเปกขาญาณ
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน
บริษัทนี้ดี จำกัด ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.