วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

จิตคือตัวทุกข์จิตนั่นแหละเป็นตัวทุกข์ น้อยคนนักที่จะเข้าใจได้ว่า ตัวจิตเองนั่นแหละ เป็นตัวทุกข์อันใหญ่ทีเดียว ไม่ใช่ต้องอยากหรือยึดสิ่งอื่นหรือขันธ์อื่นเท่านั้น ที่จะเป็นทุกข์ เพียงเมื่อใดยึดว่า จิตเป็นเรา ทันทีนั้นแหละทุกข์เกิดแล้ว และเมื่อเอา จิตที่เป็นเรา ไปกระโดดโลดเต้นตามแรงกิเลสตัณหา เช่นไปยึดว่านี่กายเรา นี่ความสุขความทุกข์ของเรา นี่ครอบครัว นี่สมบัติของเรา แล้วคราวใดเกิดความไม่สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ อันนี้เป็นทุกข์ซ้ำซ้อนที่ตามมาทีหลัง ส่วนมากเราจะรู้จักทุกข์ชนิดนี้ แต่ไม่ค่อยรู้จักจิตที่เป็นก้อนทุกข์ ทั้งที่ไม่ได้ยึดถือสิ่งภายนอก เมื่อเราดูจิตอยู่นั้น และเห็นว่ามันเป็นทุกข์ จิตลึกๆ มันอดที่จะอยากให้จิตพ้นทุกข์ไม่ได้ (ดังที่บอกว่า “เฝ้าดูแล้วมันไม่ดีขึ้น” นั่นแหละครับ เราอยากให้ดีขึ้นนะครับ) ความอยากนั้น ยิ่งทำให้เพ่งจ้อง ให้พยายามทำลายทุกข์ แล้วผลก็คือทุกข์จะหนักและแรงยิ่งขึ้น ไม่มีใครทำหรอกครับ เราทำของเราเองทั้งนั้น ทีนี้ต่อมาเฝ้าสังเกตอยู่เฉยๆ แล้วจิตมันพิจารณาว่านี้คืออะไร จิตก็ตอบว่า อุปาทาน แล้วความทุกข์ก็คลายออก ลักษณะนี้ผู้ปฏิบัติเป็นกันทั้งนั้นครับ เวลาจิตติดขัดสิ่งใดอยู่นั้น เมื่อใดที่ปัญญาตามทัน ปัญญาจะตัดอารมณ์ที่จิตกำลังยึดถืออยู่ ขาดออกไปทันที เพราะคุณสมบัติของปัญญาคือการตัด แต่อันนี้ต้องเป็นปัญญาที่มันผุดขึ้นในใจจริงๆ จึงจะตัดได้ ถ้าคิดๆ เอา ยังตัดไม่ได้ครับ ที่ปฏิบัติมา ทำได้ดีเชียวครับ ทีนี้เมื่อจิตวางความทุกข์แล้ว จิตเบา สบาย มีปีติแล้ว อย่าลืมหันมาสังเกตความยินดีพอใจที่เกิดขึ้นอีกนะครับ ส่วนมากพอหายทุกข์แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพอใจ แล้วหยุดอยู่แค่นั้นเอง เข้าลักษณะเกลียดทุกข์ รักสุข ผมเองเมื่อก่อนที่ปฏิบัติทีแรกก็เป็นอย่างเดียวกันนี้เหมือนกันครับ โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น