วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สัตว์โลกทั้งสิ้นคือพุทธะในวาระแรกนั้น พระองคยังไมไดดับขันธตางๆ ใหสิ้นสนิทเปนเด็ดขาดแตอยางใด ยังเพียงเขาไปเพื่อทรง กระบวนการแหงการสูนิพพาน หรือนิโรธ เปนครั้งสุดทายแหงชีวิต พูดงายๆ ก็คือสูสิ่งที่พระองคไดทรงสราง ไดทรงพากเพียรกอเปนทาง เปนแบบอยางไว เปนครั้งสุดทายเสียหนอย ซึ่งเรียกไดวาสิ่งอันเกิดจากที่พระ องคไดยอมอยูกับธุลีทุกขอันเปนธุลีทุกขที่มนุษยธรรมดา (เปน) ผูที่มีจิตหยาบเกินกวาจะสัมผัสวา มันเปน ทุกข นี่แหละ กระบวนการกระทําจิตตน ใหถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เปนกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัม พุทธเจา พระผูเปนยอดแหงศาสดาในโลกเทานั้นที่ทรงคนพบ ทรงนํามาตีแผเผย แจงออกสูสัตวโลกใหพึง ปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดทายนี้แลว จึงไดถอยกลับมาสูสภาวะตน คือ ปฐมฌาน แลวจึงไดตัดสินพระ ทัยสุดทาย เพราะตองดับสังขารขันธหรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียกอน วิญญาณขันธจึงไดดับ ดังนั้น จึงไมมี เชื้อใดเหลืออยูแหงวิญญาณขันธที่หยาบนั้น พระองคเริ่มดับ สังขารขันธหรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกทีอันจะสงผลใหกอน วิภวตัณหา ไดชั้นหนึ่งเสีย กอน แลวจึงไดเลื่อนเขาสู ทุติยฌาน แลวจึงดับ สัญญาขันธเลื่อนเขาสู ตติยฌาน เมื่อ พระองคดับสังขาร ขันธหรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกทีก็เปนอันเลื่อนเขาสู จตุตถฌาน คงมีแต เวทนาขันธสุดทายแหงชีวิต นั้นแล คือลักษณาการแหงขั้นสุดทายของการจะดับสิ้นไมเหลือ เมื่อพระองคดับ สังขารขันธหรือ สังขารธรรม ใหญสุดทายที่มีทั้งสิ้นแลว แลวก็มาดับ เวทนาขันธอัน เปน จิตขันธหรือ นามขันธที่ในจิตสวนในคือ ภวังคจิต เสียกอน แลวจึงไดออกจาก จตุตถฌาน พรอม กับมาดับ จิตขันธหรือ นามขันธสุดทายจริงๆของพระองคเสียลงเพียงนั้น นี้พระองคเขาสูนิพพานอยางจริงๆ อยูตรงนี้พระองคไมไดเขาสูนิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อ พระองคออกจากจตุตถฌานแลว จิตขันธหรือนามขันธก็ดับพรอม ไมมีอะไรเหลือนั่นคือ พระองคดับ เวทนาขันธในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย ครบพรอมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไมถูก ภาวะอื่นใดที่มาครอบงําอําพราง ใหหลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เปนภาวะแหงตนเองอยางบริบูรณ เมื่อ เวทนาขันธสุดทายแทๆ จริงๆ ไดถูกทําลายลงอยางสนิท จึงเปนผูบริสุทธิ์หมดสิ้นแลวซึ่งสังขารธรรม และหมดเชื้อ จิตขันธหรือ นามขันธทั้งปวงใดๆ ในพระองคทาน ไมมีเหลือ คงทิ้งแต รูปขันธอันจะมี ชีวิตนั้นไมไดแน เพราะรูปไมใชชีวิตหากสิ้นนามเสียแลวก็คือแทง คือกอนวัตถุหนึ่ง เทานั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น