วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจ" จงอย่าลืมเพราะมันเป็นความจริง ไม่ว่าร่างกายของชายหรือหญิงมันเต็มไปด้วยความสกปรก สกปรกและก็เสื่อมลงทุกวัน มีอาการเต็มไปด้วยความทุกข์ ด้วยการบริหารร่างกาย " มีความเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องเลี้ยงร่างกายด้วยทรัพย์สิน จะกินก็ไม่สะดวก จะนอนก็ไม่สะดวก การแสวงหาทรัพย์ไม่ใช่ของง่าย กว่าจะได้มาต้องพบกับอุปสรรคทุกประการ เราทำงานกับผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาไม่ดีเราก็กลุ้ม หรือบางทีผู้บังคับบัญชาดี เพื่อนร่วมงานด้วยกันไม่ดีเราก็กลุ้ม เวลาป่วยไข้ไม่สบายจะพักจะผ่อนบ้าง ถ้าวันลาหรือไปลาผู้บังคับบัญชาเขาไม่ยอมให้ลา เราก็ลำบากกายลำบากใจ เป็นอันว่าเราเกิดมาเป็นคนที่มันมีทุกข์ ถ้ายิ่งเราจะแสวงหาความสุขจากการแต่งงานแทนที่มันจะคลายความทุกข์ มันจะเพิ่มความทุกข์มากขึ้น ก็เป็นอันว่า เราไม่พบกับความสุข เราพบกับความทุกข์ แล้วก็มานั่งคิดในใจว่า เราเป็นคนมีเมตตา ความรัก เราเป็นคนมีความกรุณา ความสงสาร เราควรจะสงสารตัวเราไหม ถ้าเราคิดว่าเราจะรักใครสักคนหนึ่ง หวังผลในการแต่งงาน ถ้าแต่งงานแล้วมันเป็นความทุกข์ นี่เราควรจะแต่งงานหรือว่าไม่ควรจะแต่ง ถ้าหากว่าเราคิดว่ามันเป็นความสุข เราก็ควรแต่ง ถ้าคิดว่ามันเป็นความทุกข์เราก็ต้องสงสารตัวเราเองว่า แค่ตัวเราเองนี้เรายังแบกเกือบไม่ไหว และไม่สามารถทรงกำลังกายให้มันเป็นสุขอยู่ได้ ถ้าเราไปแบกอีกคนหนึ่งเข้ามาแล้ว วันต่อมาอีกหลายคน คือ ลูกสาว ลูกชาย ความทุกข์ใหญ่มันก็เกิด เราก็หันกลับมามีเมตตา ความรักตัวเอง กรุณา ความสงสารตัวเองว่า " โอหนอ เราอยากโง่ไปทำไม ร่างกายของเราก็สกปรก ถ้าเราต้องการมีคู่ครอง ร่างกายของคู่ครองก็สกปรก เราคนเดียวแบกหนึ่งทุกข์ ทุกข์เท่านี้ คือ ขันธ์ ๕ ไปมีคู่ครองเข้า อีกคนหนึ่งก็แบกมาอีก ๕ ขันธ์ กลายเป็น ๑๐ ถ้ามีลูก มีหลาน มีเหลนออกมาไปกันใหญ่ " องค์สมเด็จพระจอมบรมไตรโลกศาสดาทรงตรัสว่า " ภารา หเว ปัญจขันธา " : " ขันธ์ ๕ ทั้งหลาย เป็นภาระอันหนัก " คือ เราคนเดียวมี ๕ ขันธ์ หนักแค่นี้ ถ้าเพิ่มอีกคนเป็นขันธ์ ๑๐ เพิ่มอีกคนเป็นขันธ์ ๑๕ เพิ่มอีกคนเป็นขันธ์ ๒๐ มันจะหนักปานไหน ตอนนี้เราก็เริ่มรัก เริ่มสงสารตัว ขอตัดกำลังใจว่าจะไม่คิดพึงหาคู่ครอง เห็นโทษจากความรัก ในความปรารถนาที่มีคู่ครอง เพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันหาความสุขไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ครองก็ดี เราก็ดี ย่อมทรุดโทรมลงไปทุกวัน ไม่ช้าก็จากกันด้วยความตาย ถ้าเรายังมีความหลงใหลใฝ่ฝันด้วยอำนาจตัณหาแบบนี้อีก เราก็ต้องเกิดอีก มันจะหาความสุขอะไรไม่ได้ ควรจะตัดสินใจแล้วก็จำพระบาลีของค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไว้ว่า " ปิยโต ชายเต โสโก ปิยโต ชายเต ภยัง " : " ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรัก ภัยอันตรายเกิดจากความรัก " และสิ่งที่เรารัก มันจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัยหรือไม่ สมบัติของโลกมีความเกิดขึ้นในเบื้อต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็สลายทั้งหมด องค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นโทษอย่างนั้นสมเด็จพระมหามุนีจึงได้หนีพระนางพิมพากับพระราหุล ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์บำเพ็ญตนเป็นพระอรหันต์หมดความทุกข์ มีแต่อารมณ์ความสุขฉันใด เราก็ขอตัดกำลังใจ คือ จะรักเรา และสงสารตัวเราเข้าไปว่า กรรมใดที่เนื่องจากกามารมณ์ เป็นปัจจัยของความทุกข์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราไม่ต้องการ เราจะแสวงหาความสุข คือ อยู่แต่ผู้เดียวตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า " เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา " เป็นต้น แปลว่า " ทางของบุคคลผู้เดียวเป็นทางเอก เป็นทางนำมาซึ่งความสุข " เราก็พยายามจับเอากายคตานุสสติกรรมฐานกับอสุภกรรมฐานพร้อมกับสักกายทิฏฐิมาบวกกันเข้าว่าร่างกายนี่เป็นเพียงธาตุ ๔ มีสภาพสกปรก มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ทำไมเราจึงไปรักร่างกายเขาเพื่อประโยน์อะไร เพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรักตัว สงสารตัว คิดอย่างนี้เป็นปกติ ไม่ช้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านก็จะชนะอำนาจกามกิเลสเสียได้ จัดว่าเป็นครึ่งหนึ่งของพระอนาคามี ยังไม่หมดแต่เวลามันหมด ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคตจงพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถที่เห็นว่าสมควร ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรว่าควรจะเลิก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น