พระโสดาบันและพระสกิทาคามี
เพื่อนพระโยคาวจรทั้งหลาย วันนี้มาฟังถึงหมวดพระอริยเจ้า หมวดนี้ให้นามว่า หมวดพระอริยเจ้า จะพูดถึงความเป็นอริยเจ้าโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าผู้สอนฉลาดในการสอน หรือว่าผู้ปฏิบัติฉลาดในการปฏิบัติก็ควรที่จะเริ่มตั้งแต่หมวดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการปฏิบัติ เราหวังผล นั่นคือ พระนิพพานหรืออย่างน้อยเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น
ที่บรรดาท่านทั้งหลาย หลายท่าน จดหมายมาที่วัดบอกว่าปฏิบัติพระกรรมฐานมา 20 ปีเศษ ไม่มีอะไรคืบหน้า ก็เลยสงสัยเหมือนกันว่าการปฏิบัติของท่านปฏิบัติแบบไหน การจะเป็นพระอริยเจ้าหรือว่าการตัดกิเลส จะเป็นพระอริยะต้องตัดกิเลส 10 อย่าง หรือ ตัดกิเลสเพื่อความเป็นพระอริยะมี 10 อย่าง ท่านเรียกว่า สังโยชน์ คำว่าสังโยชน์แปลว่ากิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด รัดใจจนกระทั่งเราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มี 10 อย่างด้วยกันคือ
1. สักกายทิฏฐิ
2. วิจิกิจฉา
3. สีลัพพตปรามาส
ละสามข้อนี่เป็น พระโสดาบัน ก็ได้ พระสกิทาคามี ก็ได้
4. กามฉันทะ
5. ปฏิฆะ
ละสองข้อหลังนี่ต่อมาต้องได้ 1 2 3 ด้วยนะ แล้วต่อ 4 5 ถ้าได้ 4 5 มานี่ก็จะได้เป็น พระอนาคามี ต่อไปจะได้เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องตัด
6. รูปราคะ
7. อรูปราคะ
8. มานะ
9. อุทธัจจะ
10. อวิชชา
ที่พูดอยู่นี่กำลังป่วย ก็จะเผลอไปบ้างผิดไปบ้างเป็นของธรรมดา เสียงก็ยังไม่ลงตัว กระแอมไอ ก็ขอนำสังโยชน์ 10 มาพูดกัน
คำว่า สักกายทิฏฐิ ในพระโสดาบัน สักกายทิฏฐินี่จริง ๆ เป็นตัวกิเลสที่ตัดโดยเฉพาะ ตามที่พระสารีบุตรท่านแนะนำพระสงฆ์ ที่พระสงฆ์ไปลาพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าทรงให้ไปลาพระสารีบุตรเพื่อจะเข้าป่า
พระได้ถามพระสารีบุตรว่า พวกผมยังเป็นปุถุชน ถ้าต้องการปฏิบัติให้เป็นพระอริยเจ้าเพื่อเป็นพระโสดาบันจะทำยังไงขอรับ พระสารีบุตรก็บอกว่า เธอจงปฏิบัติตามนี้ คือ มีความรู้สึกว่าร่างกาย ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง 5 ประการนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าเธอคิดอย่างนี้ได้อันดับต่ำ มีความทรงตัวอันดับต่ำ เธอก็จะเป็นพระโสดาบัน
พระก็ถามต่อไปว่า ถ้าพวกผมเป็นพระโสดาบันแล้ว ต้องการเป็นพระสกิทาคามี จะมีความรู้สึกอย่างไร ต้องปฏิบัติแบบไหน พระสารีบุตรก็บอกว่า ข้อเดียวกันแหละ ถ้าเธอมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จิตละเอียดลง ปัญญาเกิดมากขึ้น เธอก็เป็นพระสกิทาคามี
พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระสกาทามีแล้ว ต้องการเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกเหมือนกัน จะทำยังไง ท่านก็บอกข้อเดียวกัน ก็รวมความว่าให้ พิจารณาขันธ์ 5 ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
ตอนนี้ถ้าพูดเร็วก็ขอโทษ มันป่วย ป่วยและคอไม่ดี บรรดาท่านทั้งหลายฟังข้อนี้แล้ว ท่านอาจจะคิดว่าความเป็นพระอริยเจ้านี่เป็นของไม่ยาก แต่ความจริงมันก็ไม่ยาก แต่ว่าทั้งนี้ก็อย่าไปนึกว่าคนพูดเป็นพระอริยเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน ว่ากันตามตำราของท่าน ไม่ยากจริง ๆ
ทีนี้เพื่อความเข้าใจง่ายไปกว่านั้น หวนกลับมาจับอารมณ์ ของพระโสดาบันใหม่ ว่า คนที่จะเป็นพระโสดาบันจริง ๆ จะต้องมีอารมณ์เยือกเย็นจริง ๆ สามารถตัดกิเลส ได้จะทำยังไง ก็ต้องไปดูบาลีจุดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี ทั้ง 2 ประการนี้มีศีลบริสุทธิ์ และก็มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย
ถ้าว่ากันตามนี้ ก็จะเห็นว่าพระโสดาบันเป็นไม่ยากนัก ท่านบอกว่า ใช้สมาธิไม่มาก ไม่ต้องเครียด มีสมาธิเล็กน้อยขั้น ปฐมฌาน ก็พอ และมีปัญญาเล็กน้อยไม่มากนัก คำว่าปัญญาเล็กน้อยนี่มีความสำคัญ ต้องหวนกลับมาว่าปัญญาเล็กน้อยมีความรู้สึกยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สักกายทิฏฐิ มีความสำคัญมาก สักกายทิฏฐิ ท่านแปลว่า มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
ตอนนี้ก็มาตั้งจุดแค่เล็ก ๆ อันดับแรกที่เราจะทำ แรกที่สุดหาทางรู้จักหน้า นิวรณ์ 5 ประการเสียก่อน ว่านิวรณ์ 5 ประการนี่มีอะไรบ้าง อย่าให้มันกวนใจตลอดวัน ยังไง ๆ มันก็กวนใจแน่ ขั้นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี นี่หลีกนิวรณ์ไม่พ้น และก็หาทางยับยั้งมัน วิธีหาทางยับยั้งก็คือว่า ไม่ต้องรู้จักหน้ามันเลย ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวสักครู่เดียว นั่นคือ ว่าอันดับแรกก่อนจะทำอะไรทั้งหมด (หมวดนี้มีความสำคัญนะ) จิตนึกถึงพรหมวิหาร 4 ก่อน พรหมวิหาร 4 นี่ ถ้าท่านมีกันแล้วนะเป็นประจำทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ตาม ทรงตัวหมด การตัดกิเลสก็เป็นของง่าย
พรหมวิหาร 4 มีอะไรบ้าง คือ
1.เมตตา ความรัก มีความรู้สึกจากการตื่นนอน ก็ตั้งใจเสียทีเดียวว่า วันนี้เราจะรักตัวเดียว คำว่าเกลียด ไม่มีในใจของเรา เราจะมีความรักในตัวเราเองด้วย มีความรักในบุคคลอื่นด้วย มีความรักในวัตถุด้วย ความรักในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกามารมณ์ หมายถึง เมตตา ตัวรักในฐานะเป็นเพื่อน ในฐานะเป็นมิตรที่ดี เรารักตัวเราคือเราไม่ทำลายตัวเรา เรารักคนอื่นคือ เราไม่ทำลายคนอื่น เรารักสัตว์ เราไม่ทำลายสัตว์ เรารักวัตถุ เราไม่ทำลายวัตถุ ทำจิตรักเป็นอันดับแรกว่า เราจะเป็นมิตรที่ดีหรือรักคนทั้งโลก รักสัตว์ทั้งโลกเหมือนกัน รักวัตถุที่เขาใช้ ของใช้ของหวงแหนของแต่ละบุคคล ของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี เราจะรัก ไม่ทำลายไม่ยื้อแย่งของเขา ตั้งใจตามนี้นะ เช้ามืดเริ่มตอนนี้เลย และต่อมาเมื่ออารมณ์ทรงตัวดีแล้ว เราก็คิดว่าความรักก็ดี กฎ 4 ข้อก็ตาม จะประจำใจเราตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกว่าจะหลับ
2. อารมณ์สงสาร เราไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำร้ายร่างกายเรา ไม่ทำร้ายบุคคลอื่น ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ทำร้ายวัตถู ไม่ทำอันตรายกับเขาเพราะความสงสาร มีความปรารถนา จะเกื้อกูลให้ทุกคนมีความสุข เห็นใครมีทุกข์ อยากจะมีสุข ถ้าช่วยได้ไม่เกินวิสัย เราจะช่วย และต่อมาคือ
3. มุทิตา จิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดี พลอยยินดีด้วย ตั้งใจไว้ตามนี้ อย่าไปแย่งความดีของเขา เขาทำความดีแบบไหน เราตั้งใจทำแบบนั้นเพื่อมีความดีเสมอเขาหรือดีกว่าเขา แต่ว่าอย่าให้เป็นมานะทิฏฐิ ถ้าเธอทำได้ดีแค่นี้นะรึ ฉันทำได้ดีกว่า กลายเป็นมานะทิฏฐิ นี่ไม่ถูกต้อง อย่างนี้ผิด ไปอบายภูมิจิตหมอง ต้องคิดว่าความดีมีอยู่ เราต้องทำความดีอย่างเขา แต่เผอิญมันจะดีกว่า เขาได้ก็เป็นปลื้มใจของเรา ไม่เหยียดหยามเขา
4. อุเบกขา วางเฉย นั่นหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเกินวิสัยที่เราจะช่วยได้ จะเป็นคนก็ตาม จะเป็นสัตว์ก็ตาม เราจะไม่ซ้ำเติม เราจะช่วยเขาให้มีความสุข ถ้าเกินวิสัยที่เราจะพึงช่วยได้ ก็เฉยไว้ก่อน ไม่ซ้ำเติมเขา พร้อมที่จะช่วยเหลือ
อารมณ์อย่างนี้ต้องมีประจำใจของทุกท่าน ตั้งแต่ลืมตาใหม่ ๆ จนกว่าจะหลับตานอนหลับไปเลย นี่เป็นอันดับที่ 1 ที่เราจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า และก็อันดับนี้คือ พรหมวิหาร 4 การกั้นนิวรณ์ เราจะทรงตลอดไป มันก็เผลอบ้างอะไรบ้างเป็นของธรรมดาใหม่ ๆ แต่ถ้าเป็นพระอริยะจริง ๆ ไม่มีคำว่าเผลอ พรหมวิหาร 4 นี่พระอริยเจ้าไม่เผลอ ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงขึ้นไป พรหมวิหาร 4 ยิ่งหนักต้องประจำใจเพื่อประโยชน์ในความเป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์
ต่อมาก็อารมณ์ ที่ต้องการ คือ อานาปานุสสติ การรู้ลมหายใจเข้าออก พอตื่นนอนปั๊บ จับลมหายใจเข้าออกทันที พร้อมกับคิดถึงเรื่องพรหมวิหาร 4 อย่าลืมว่าพระอริยเจ้ามีอารมณ์เยือกเย็น ถ้าพระโสดาบันมี 2 ขั้น สัตตักขัตตุง โกลังโกละ เอกพีชี มีความเย็นเหนือขึ้นไปเป็นลำดับ พระสกิทาคามีก็เย็นกว่าพระโสดาบัน อนาคามีก็เย็นกว่าพระสกิทาคามี อรหันต์เย็นที่สุด
ก็รวมความว่า เราต้องมีจิตเยือกเย็น อารมณ์เยือกเย็นจะมีได้ก็เพราะ พรหมวิหาร 4 พรหมวิหาร 4 จะทรงตัวได้ก็เพราะอานาปานุสสติ จำให้ดี เมื่อทรงอานาปานุสสติแล้ว จิตเราก็ยอมรับนับถือ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติ นึกถึงพระธรรมด้วยความเคารพด้วยกันทั้งหมดนะ เป็น ธัมมานุสสติ นึกถึงพระอริยสงฆ์ด้วยความเคารพ เป็น สังฆานุสสติ อย่างนี้เป็นการละวิจิกิจฉา ตัดความสงสัยในคุณพระรัตนตรัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น