วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

เกิดอะไรขึ้นในกายในใจตามรู้ตามดูไปตามความเป็นจริงทีละขณะ อรรถกถาปฐมทารุขันธสูตรที่ ๔ ในปฐมทารุขันธสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. บทว่า อทฺทสา ความว่า ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาจัดไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ได้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว. บทว่า วุยฺหมานํ ได้แก่ ท่อนไม้ที่เขาถากเป็น ๔ เหลี่ยมแล้วกองไว้ระหว่างเขา แห้งสนิทดีเพราะลมและแดด เมื่อเมฆฝนตกชุกก็ลอยขึ้นตามน้ำ ตกไปในกระแสแม่น้ำคงคาตามลำดับ ลอยไหลไปตามกระแสน้ำนั้น. บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า เราจักแสดงกุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนาของเรา กระทำให้เหมือนท่อนไม้นี้ ดังนี้แล้ว จึงตรัสเรียกมา เพราะทรงประสงค์จะทรงแสดงธรรม. อนึ่ง เพราะนอกจากโทษ ๘ ประการของท่อนไม้ที่ลอยไปตามกระแสน้ำ เพื่อจะทรงแสดงโทษอีก ๘ ประการอันจะกระทำอันตรายแก่ท่อนไม้ที่ลอยไปสู่สมุทร. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเริ่มพระดำรัสนี้ว่า อมุ ํ มหนฺตํ ทารุกฺขนฺธํ คงฺคาย นทิยา โสเตน วุยฺหมานํ ดังนี้. จริงอยู่ ต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดที่พื้นภูเขา ไม่ไกลแม่น้ำคงคา ถูกเถาวัลย์ต่างๆ พันไว้มีใบเหลือง ถูกปลวกเป็นต้นกัดกิน ก็ถึงความไม่มีบัญญัติ (ตาย) ในที่นั้นนั่นเอง ท่อนไม้นี้ลงสู่แม่น้ำคงคาแล้วงดงามอยู่ในวังวน ถึงสาครแล้วย่อมไม่ได้เพื่อจะงดงาม บนหลังคลื่นซึ่งมีสีดังแก้วมณี. ต้นไม้อีกต้นหนึ่งมีรากอยู่ภายนอก มีกิ่งอยู่ภายในฝั่งแม่น้ำคงคา ต้นไม้นี้ถูกน้ำโดยกิ่งที่ห้อยย้อยลงมาบางครั้งบางคราวก็จริง ถึงอย่างนั้น เพราะมันมีรากอยู่ภายนอกแม่น้ำคงคา ลงสู่แม่น้ำคงคาแล้ว งดงามอยู่ในวังวน ถึงสาครแล้ว ย่อมไม่ได้เพื่อจะงดงามบนหลังคลื่น ซึ่งมีสีดังแก้วมณี. อีกต้นหนึ่งเกิดกลางแม่น้ำคงคา แต่ยืนต้นอยู่ดีเพราะรากมั่นคงและกิ่งคดของมันยื่นไปนอกต้น ถูกเถาวัลย์ต่างๆ เกี่ยวพันไว้. แม้ต้นไม้นี้ก็ลงสู่แม่น้ำคงคา ฯลฯ ไม่ได้งดงาม เพราะมีรากมั่นคงและมีเถาวัลย์เกี่ยวพันไว้ข้างนอก. อีกต้นหนึ่งถูกทรายคลุมทับไว้ ในที่ๆ มันล้มลงนั่นแล ก็เน่า ฯลฯ ต้นไม้แม้นี้ก็ลงสู่แม่น้ำคงคา ฯลฯ ก็ไม่งาม. อีกต้นหนึ่งยืนต้นอยู่อย่างแน่นสนิท เหมือนฝังไว้ดี เพราะเกิดในระหว่างแผ่นหิน ๒ แผ่น น้ำคงคาที่ไหลมาถึงได้แยกเป็น ๒. ต้นไม้นี้เพราะอยู่ด้วยดีในระหว่างแผ่นหิน ลงสู่แม่น้ำคงคา ฯลฯ ก็ไม่งาม. อีกต้นหนึ่งยังท้องฟ้าให้เต็มในที่กลางแจ้ง ถูกเถาวัลย์เกี่ยวพัน ยืนต้นอยู่ เปียกน้ำ ๑-๒ ครั้ง ในห้วงน้ำใหญ่ที่หลากมาถึงเกิน ๑-๒ ปี แม้ต้นไม้นี้ เพราะมันยืนต้นระท้องฟ้า และเพราะเปียกอยู่ ๑-๒ ครั้งโดยล่วงไป ๑-๒ ปี ลงสู่แม่น้ำคงคา ฯลฯ ก็ไม่งาม. แม้อีกต้นหนึ่งเกิดบนเกาะน้อย กลางแม่น้ำคงคา มีลำต้นและกิ่งอ่อน เมื่อโอฆะ ห้วงน้ำหลากมาก็ล้มลอยไปตามกระแสน้ำ เมื่อน้ำไหลถึงก็ชูยอดขึ้นเหมือนฟ้อนรำได้. เพื่อประโยชน์ไรเล่า สาครเหมือนกล่าวกะแม่คงคาว่า ดูก่อนท่านคงคา ท่านนำมาแต่ไม้ต่างๆ มีไม้แก่นจันทน์ และไม้แก่นมีหนามเป็นต้น แต่ไม่นำท่อนไม้มา. แม่น้ำคงคากล่าวว่า ข้าแต่เทวะ นั่นเป็นการดีแล้วละ ข้าก็จักรู้อีกครั้งแล้วไหลมาเหมือนสวมกอดด้วยน้ำสีแดงอีกครั้ง. ต้นไม้แม้นั้นก็ลอยไปตามกระแสน้ำเหมือนอย่างนั้นแล เมื่อน้ำผ่านมาถึง ก็ชูยอดขึ้นเหมือนรำฟ้อนฉะนั้น. ต้นไม้นี้ลงสู่แม่น้ำคงคา เพราะยังเป็นไม้อ่อน ฯลฯ ก็ไม่งาม. อีกต้นหนึ่งล้มลงขวางแม่น้ำคงคา ถูกทรายคลุมทับไว้ เป็นที่อาศัยของคนเป็นอันมาก เหมือนสะพานทอดอยู่ในระหว่างฉะนั้น. ไม้ไผ่ไม้อ้อไม้กุ่มบกและไม้กุ่มน้ำเป็นต้น ที่ฝั่งทั้ง ๒ ลอยมาติดอยู่ที่ต้นไม้นั้นนั่นแล กอไม้ต่างๆ ก็ลอยมาอย่างนั้น ทั้งสากแตก กระด้งขาด ซากงู ลูกสุนัขและช้างม้าเป็นต้น ก็ติดอยู่ที่นั้นเหมือนกัน. แม่น้ำคงคาใหญ่กระทบสิ่งนั้นแล้วก็แยกเป็น ๒ สาย ทั้งปลา เต่า จระเข้และมังกรเป็นต้นก็อยู่ในที่นั้นนั่นแล แม้ต้นไม้นี้ล้มขวางแม่น้ำคงคา โดยภาวะที่ทำให้เป็นที่อาศัยของมหาชน เมื่องอกงามอยู่ในที่อันเป็นวังวน ถึงสาครก็ไม่งาม บนหลังคลื่นอันมีสีดังแก้วมณี. ดังนั้น เพื่อจะทรงแสดงโทษอีก ๘ ประการ อันกระทำอันตรายแก่การถึงสมุทรแห่งท่อนไม้ ที่ไปตามกระแสน้ำ เพราะนอกจากโทษ ๘ ประการนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ท่อนไม้ใหญ่ท่อนโน้น ถูกกระแสน้ำคงคาพัดไปอยู่. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ถเล อุสฺสาทิสฺสติ ได้แก่ จักไม่ขึ้นบก. บทว่า น มนุสฺสคฺคาโห คเหสฺสติ ความว่า มนุษย์ทั้งหลายเห็นว่าต้นไม้นี้ใหญ่หนอ จึงข้ามน้ำไปด้วยแพ ไม่ยึดถือเอา เพื่อประโยชน์จะทำเป็นไม้กลอนเป็นต้น. บทว่า น อมนุสฺสคฺคาโห คเหสฺสติ ความว่า อมนุษย์ทั้งหลายสำคัญว่า ไม้แก่นจันทน์นี้มีค่ามาก พวกเราจักพักไว้ทางประตูวิมาน แต่ก็ไม่ถือเอา. ในคำว่า เอวเมวโข นี้ พึงทราบการเทียบเคียงข้ออุปมา พร้อมกับทั้งโทษภายนอก ๘ ประการอย่างนี้. จริงอยู่ บุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีอาทิว่าทานที่บุคคลให้แล้วย่อมไม่มีผล พึงทราบเหมือนท่อนไม้เกิดที่พื้นภูเขา ไกลแม่น้ำคงคา ถูกปลวกเป็นต้นกัดกิน ถึงความหาบัญญัติมิได้ในที่นั้นนั่นแล. จริงอยู่ บุคคลนี้ลงสู่อริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิ ก็ไม่อาจไปถึงสาครคือพระนิพพาน เพราะไกลพระศาสนา. บุคคลผู้เป็นสมณกุฏุมพี ยังตัดความผูกพันทางคฤหัสถ์ไม่ขาด พึงเห็นเหมือนต้นไม้ที่มีรากอยู่ภายนอก มีกิ่งอยู่ภายใน เกิดที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา. จริงอยู่ บุคคลนี้คิดว่า ธรรมดาจิตนี้ไม่ต่อเนื่องกัน เมื่อกล่าวว่า เราเป็นสมณะ แต่ก็เป็นคฤหัสถ์ เมื่อกล่าวว่า เราเป็นคฤหัสถ์ แต่ก็เป็นสมณะ ใครจักรู้ว่า เราจะเป็นอย่างไร แม้เมื่อบวชในเวลาแก่ก็ไม่สละความเกี่ยวพันทางคฤหัสถ์. และชื่อว่าสมบัติของผู้บวชในเวลาแก่ย่อมไม่มี. ถ้าจีวรมาถึงเธอไซร้ ก็ถึงแต่จีวรขาดๆ จีวรเก่าๆ หรือจีวรซีดๆ. แม้เสนาสนะเล่า ไม่ว่าบรรณศาลาหรือมณฑป ก็มาถึงแต่ที่อยู่ชายวิหาร. แม้เมื่อเที่ยวไปบิณฑบาตก็เที่ยวไปข้างหลังเด็กๆ ผู้เป็นลูกและหลาน นั่งในที่ท้ายๆ ด้วยเหตุนั้น เธอจึงเป็นทุกข์ เสียใจ หลั่งน้ำตา คิดว่า ทรัพย์อันเป็นของตระกูลของเรามีอยู่ ควรไหมหนอที่เราใช้ทรัพย์นั้นเลี้ยงชีวิต จึงถามพระวินัยธรรูปหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ การพิจารณาสิ่งของอันเป็นของตนแล้วกิน จะสมควรหรือไม่สมควร. พระวินัยธรตอบว่า ในข้อนี้ไม่มีโทษ ข้อนั้นสมควรแท้. เธอจึงพาพวกภิกษุว่ายาก ประพฤติเลวทรามผู้คบกับตน ๒-๓ รูป ในเวลาเย็นไปภายในบ้าน ยืนอยู่กลางบ้าน ให้เรียกชาวบ้านมากล่าวว่า ท่านจะให้ทรัพย์ที่เกิดจากการประกอบของพวกเราแก่ใคร. ชาวบ้านพูดว่า ท่านขอรับ พวกท่านเป็นบรรพชิต พวกท่านจะให้ใครเล่า. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ทรัพย์ของตนไม่ควรแก่บรรพชิตหรือ ดังนี้แล้วให้คนถือจอบและตระกร้า กระทำกิจมีการก่อคันนาเป็นต้น รวบรวมปุพพัณณชาต อปรัณณชาตและผลไม้น้อยใหญ่มีอย่างต่างๆ ให้หุงต้มเคี้ยวกินสิ่งปรารถนา ในเหมันตฤดู คิมหันตฤดูและวัสสันตฤดู เป็นสมณกุฏุมพี เลี้ยงชีวิต. หญิงบำเรอบาทบริจาริกาพร้อมกับเด็กไว้ผม ๕ แหยมของสมณกุฏุมพีนั้น คนเดียวก็ไม่มี. บุคคลนี้ให้กายสามัคคีแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ลานพระเจดีย์และลานต้นโพธิ์เป็นต้น เหมือนต้นไม้ถึงแม้มีกิ่งอยู่ในฝั่ง แต่ก็มีกิ่งห้อยย้อยลงมาถูกน้ำ. เธอลงสู่อริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิ ไม่อาจไปถึงสาครคือพระนิพพานได้ เพราะมีรากภายนอกต้น เหตุที่ตัดความเกี่ยวพันทางคฤหัสถ์ ยังไม่ขาด. บุคคลผู้ขาดอาชีวะ อาศัยของสงฆ์เลี้ยงชีพ พึงเห็นเหมือนกิ่งคดเกิดกลางแม่น้ำคงคา ถูกเถาวัลย์เกี่ยวพันไว้ภายนอก. คนบางคนแม้ละความเกี่ยวพันทางคฤหัสถ์ ออกบวช ก็ไม่ได้บรรพชาในสถานอันสมควร. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่าการบรรพชานี้เป็นเหมือนการถือปฏิสนธิ. มนุษย์ทั้งหลายถือปฏิสนธิในตระกูลเหล่าใด ย่อมศึกษาอาจาระ (มารยาทและธรรมเนียม) ของตระกูลเหล่านั้นนั่นแลฉันใด แม้ภิกษุก็ฉันนั้น ถือเอาอาจาระเฉพาะในสำนักของเหล่าภิกษุที่ตนบวช เพราะฉะนั้น บุคคลบางคนบวชในสถานอันไม่สมควร ก็เป็นผู้เหินห่างจากคุณธรรมมีโอวาทานุสาสนี อุทเทศ (การเรียน) และปริปุจฉา (การสอบถาม) เป็นต้น ถือเอาหม้อเปล่าแต่เช้าตรู่ ไปยังท่าน้ำ วางบาตรไว้ที่คอไปสู่โรงฉัน เพื่อต้องการภัต สำหรับอาจารย์และอุปัชฌาย์ทั้งหลาย. เล่นการเล่นต่างๆ กับภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้ว่ายาก คลุกคลีกับคนวัดและเด็กอยู่. ในเวลาเป็นหนุ่ม เธอก็กินอยู่ร่วมกับภิกษุหนุ่มสามเณร และคนวัดอันเหมาะแก่ตน กล่าวว่าผู้นี้เป็นผู้กินอยู่ของสงฆ์ อันพระขีณาสพทั้งหลายรับมาจากสำนักของพระราชาชื่อโน้น พวกท่านไม่ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้แก่สงฆ์ พระราชาหรืออำมาตย์ของพระราชาทราบเรื่องของพวกท่านแล้ว ก็จักไม่พอพระทัย บัดนี้พวกท่านจงกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ในที่นี้ ดังนี้แล้วให้คนถือเอาจอบและตะกร้า กระทำกิจที่ควรทำในสระน้ำและเหมืองทั้งหลาย ในหนหลังให้ส่งปุพพัณณชาตและอปรัณณชาตเป็นอันมาก เข้าไว้ในวิหาร ให้คนวัดบอกแก่สงฆ์ ถึงความที่ตนเป็นผู้อุปการ สงฆ์สั่งให้ให้ว่า ภิกษุหนุ่มนี้เป็นผู้มีอุปการมาก พวกท่านจงให้ ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้างแก่ภิกษุหนุ่มนี้ ดังนั้น ท่านจึงเพิ่มพูนด้วยสมบัติของสงฆ์ ข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ถูกอเนสนา ๒๑ อย่างผูกพันไว้ภายนอก ถึงจะหยั่งลงอริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิ ก็ไม่สามารถบรรลุถึงสาครคือพระนิพพาน. บุคคลผู้เกียจคร้านและกินจุ พึงทราบเหมือนต้นไม้ที่ถูกทรายคลุมทับในที่ๆ ล้มลงนั่นแล แล้วกลายเป็นไม้ผุฉะนั้น. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายหมายเอาบุคคลเห็นปานนี้ ผู้เห็นแก่อามิสและละโมบในปัจจัย ผู้ละทิ้งอาจารวัตรและอุปัชฌายวัตรเสียแล้ว ยังละเว้นจากอุทเทศ ปริปุจฉาและโยนิโสมนสิการ (การใส่ใจ) จึงกล่าวนิวรณ์ ๕ โดยอรรถอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ พวกเราจะไปสำนักของใคร. ลำดับนั้น ถีนมิทธนิวรณ์ลุกขึ้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายไม่เห็นหรือ บุคคลผู้เกียจคร้านอยู่ในวิหารโน้นนั่น ไปบ้านชื่อโน้น ซ้อนข้าวต้มไว้บนข้าวต้ม ขนมไว้บนขนม ซ้อนข้าวสวยไว้บนข้าวสวย มาวิหาร เป็นผู้สละวัตรปฏิบัติหมด ละเว้นจากอุทเทศเป็นต้น ขึ้นเตียงนอน จงให้โอกาสแก่เรา. ลำดับนั้น กามฉันทนิวรณ์ลุกขึ้นกล่าวว่า เมื่อเราให้โอกาสแก่ท่าน ท่านก็ต้องให้โอกาสแก่เราบ้าง บัดนี้แลเขานอนหลับ ถูกกิเลสรบกวน ตื่นขึ้นก็จักตรึกแต่กามวิตก. ลำดับนั้น พยาปาทนิวรณ์ลุกขึ้นกล่าวว่า เมื่อเราให้โอกาสแก่ท่าน ท่านก็ต้องให้โอกาสแก่เราบ้าง บัดนี้แลเราหลับไป ลุกขึ้นแล้วถูกต่อว่า ท่านจงทำวัตรปฏิบัติ ก็กล่าวคำหยาบมีประการต่างๆ ว่า ท่านคนพวกนี้ไม่ทำการงานของตน ขวนขวายแต่ในเรา จำจักควักนัยน์ตาออก เที่ยวไป. ลำดับนั้น อุทธัจจนิวรณ์ลุกขึ้นกล่าวว่า เมื่อเราให้โอกาสแก่ท่าน ท่านก็ต้องให้โอกาสเราบ้าง ขึ้นชื่อว่าผู้เกียจคร้าน ย่อมลุกขึ้นเหมือนกองเพลิงที่ถูกลมพัด. ลำดับนั้น กุกกุจจนิวรณ์ลุกขึ้นกล่าวว่า เมื่อเราให้โอกาสแก่ท่าน ท่านก็ต้องให้โอกาสแก่เราบ้าง ขึ้นชื่อว่าผู้เกียจคร้าน ย่อมเป็นผู้มีความรำคาญเป็นปกติ ทำให้เกิดความสำคัญในสิ่งที่ไม่ควรว่าควร และความสำคัญในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร. ลำดับนั้น วิจิกิจฉานิวรณ์ ลุกขึ้นกล่าวว่า เมื่อเราให้โอกาสแก่ท่าน ท่านก็ต้องให้โอกาสแก่เราบ้าง. จริงอยู่ บุคคลเห็นปานนี้ ชื่อว่าย่อมให้เกิดความสงสัยอย่างใหญ่ในฐานทั้ง ๘. นิวรณ์ ๕ ย่อมครอบงำยึดเอาผู้ที่เกียจคร้านกินจุ ด้วยอาการอย่างนี้ เหมือนสุนัขดุเป็นต้น ข่มเหงโคแก่ตัวเขาขาดฉะนั้น. แม้ผู้นั้นถึงหยั่งลงสู่กระแสอริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิ ก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงสาครคือพระนิพพานได้. บุคคลผู้มีทิฏฐิเป็นคติ ทำทิฏฐิให้เกิดแล้วตั้งอยู่ พึงทราบเหมือนต้นไม้ตั้งอยู่โดยอาการดุจรากที่ฝังอยู่ในระหว่างแผ่นหิน ๒ แผ่น. จริงอยู่ ผู้นั้นเป็นเหมือนอริฏฐภิกษุและกัณฐกสามเณร เที่ยวกล่าวอยู่ว่า ในอรูปภพก็มีรูป ในอสัญญีภพ จิตก็ย่อมเป็นไปโลกุตตรมรรค อันเป็นไปหลายขณะจิต อนุสัยเป็นจิตตวิปยุตและเหล่าสัตว์เหล่านั้นแหละย่อมเร่ร่อน ท่องเที่ยวไป ก็หรือว่าเป็นผู้มีวาทะว่าส่อเสียด เป็นผู้เที่ยวทำลายพระอุปัชฌาย์เป็นต้นกับสัทธิวิหาริกเป็นต้น. แม้ผู้นั้นถึงหยั่งลงสู่กระแสพระอริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิ ก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงสาครคือพระนิพพานได้. บุคคลที่บวชในเวลาแก่ อยู่ในชนบทปลายแดน และผู้เห็นธรรมได้โดยยาก พึงทราบเหมือนต้นไม้ที่ระท้องฟ้ากลางแจ้ง ถูกเถาวัลย์พันยืนต้น แช่น้ำอยู่ ๒-๓ ครั้ง ในเมื่อห้วงน้ำหลากมาท่วมเกิน ๑-๒ ปี. จริงอยู่ บุคคลบางคนบวชในเวลาเป็นคนแก่ ได้อุปสมบทในชนบทปลายแดน โดย ๒-๓ วัน ในเวลามีพรรษา ๕ ท่องปาฏิโมกข์ได้คล่องแคล่ว ในเวลาได้ ๑๐ พรรษา ในเวลากล่าววินัยในสำนักพระเถระผู้ทรงวินัย วางพริกไทยหรือชิ้นสมอไว้ในปาก ปิดหน้าด้วยพัด นั่งหลับ เป็นผู้ชื่อว่ามีวินัยอันเธอกระทำแล้วด้วยอากัปกิริยาเป็นเลศ ถือบาตรและจีวรไปยังชนบทปลายแดน. มนุษย์ทั้งหลายในที่นั้นพากันสักการะภิกษุนั้น กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอยู่ในที่นี้แล เพราะการเห็นภิกษุหาได้ยาก จึงพากันสร้างวิหาร ปลูกต้นไม้มีดอกและออกผลแล้ว ให้อยู่ในวิหารนั้น. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้พหูสูตจากวิหารเช่นกับด้วยมหาวิหาร ไปในที่นั้นด้วยตั้งใจว่า จักมาบำเพ็ญวิปัสสนาเป็นต้นในชนบท. ภิกษุนั้นเห็นภิกษุเหล่านั้นยินดีร่าเริง บำเพ็ญวัตรปฏิบัติ วันรุ่งขึ้นจึงพากันเข้าไปบ้านเพื่อภิกขาจารกล่าวว่า พระเถระชื่อโน้นเป็นผู้ทรงพระสูตร พระเถระชื่อโน้นเป็นผู้ทรงอภิธรรม พระเถระชื่อโน้นเป็นผู้ทรงพระวินัย พระเถระชื่อโน้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก เมื่อไรพวกท่านจักได้พระเถระเห็นปานนี้ จักสร้างที่ฟังธรรม. อุบาสกทั้งหลายคิดว่า พวกเราจักสร้างที่ฟังธรรม ดังนี้แล้ว ชำระทางไปวิหาร แล้วถือเอาเนยใสและน้ำมันเป็นต้น เข้าไปหาพระมหาเถระ กล่าวว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะสร้างที่ฟังธรรม ท่านจงบอกกล่าวต่อพระธรรมกถึก วันรุ่งขึ้นจึงมาฟังธรรม. พระเถระผู้เป็นเจ้าถิ่นเก็บงำบาตรและจีวรของภิกษุผู้อาคันตุกะ ให้ส่วนแห่งวันล่วงเลยไป ภายในห้องนั่นแล. พระธรรมกถึกผู้กล่าวตอนกลางวัน ลุกขึ้นกล่าวบทสรภัญญะเหมือนเทน้ำจากหม้อ ท่านไม่รู้บทสรภัญญะแม้นั้น. ผู้กล่าวกลางคืนกล่าวตอนกลางคืนแล้วลุกขึ้น เหมือนทำสาครให้กะเพื่อม ท่านไม่รู้จักแม้บทสรภัญญะนั้น. ท่านผู้กล่าวตอนใกล้รุ่ง กล่าวแล้วลุกขึ้น. ท่านก็ไม่รู้บทสรภัญญะแม้นั้น. ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ล้างหน้า น้อมบาตรและจีวรเข้าไปถวายพระเถระ เข้าไปภิกษาจารกล่าวกะพระมหาเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ผู้กล่าวตอนกลางวันกล่าวชาดกชื่ออะไร. ท่านผู้กล่าวบทสรภัญญะกล่าวสูตรอะไร ผู้กล่าวกลางคืนกล่าวธรรมกถาชื่ออะไร, ผู้กล่าวตอนใกล้รุ่งกล่าวชื่อชาดกอะไร, ชื่อว่าขันธ์ทั้งหลายมีเท่าไร ชื่อว่าธาตุทั้งหลายมีเท่าไร ชื่อว่าอายตนะมีเท่าไร พระเถระเห็นปานนี้ล่วงไป ๑-๒ ปี จึงได้เห็นภิกษุและได้ฟังธรรม เช่นกับชุ่มด้วยน้ำ ในเมื่อห้วงน้ำหลากมา. บุคคลนั้นกลับจากเยี่ยมพระสงฆ์ และการฟังธรรมอย่างนี้ อยู่ในที่ไกลถึงหยั่งลงสู่อริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิก็ไม่สามารถบรรลุถึงสาครคือพระนิพพานได้. บุคคลผู้กล่าวด้วยเสียงอันไพเราะ พึงทราบเหมือนต้นไม้อ่อนอัน เกิดที่เกาะน้อย กลางแม่น้ำคงคา. จริงอยู่ บุคคลนั้นเรียนชาดกมีเวสสันดรชาดกเป็นต้นที่รู้จักกันแล้ว ไปปัจจันตชนบท อันเป็นที่เห็นภิกษุได้ยาก อันชนผู้มีใจเลื่อมใสด้วยธรรมกถาในที่นั้นบำรุงอยู่ อยู่ในวิหาร อันเป็นที่รื่นรมย์ดุจนันทนวันมีต้นไม้ดอกผลสมบูรณ์ ที่เขาทำอุทิศเฉพาะตน. ลำดับนั้น เหล่าภิกษุผู้กล่าวภาณวาร ได้ฟังเรื่องนั้นของภิกษุนั้นแล้ว จึงไปในที่นั้นด้วยคิดว่า ได้ยินว่า ภิกษุชื่อโน้นมีจิตผูกพันในอุปัฏฐากอย่างนี้อยู่ ภิกษุผู้เป็นบัณฑิตสามารถเพื่อเรียนพุทธพจน์ หรือเพื่อมนสิการพระกรรมฐาน พวกเราพร้อมด้วยท่านจะนำมาเรียนธรรม เรียนกรรมฐานในสำนักพระเถระชื่อโน้น. ท่านทำวัตรต่อภิกษุเหล่านั้น ในเวลาเย็นถูกภิกษุทั้งหลายผู้ออกจาริกไปในวิหารถามว่า อาวุโส ท่านสร้างเจดีย์นี้หรือ. จึงตอบว่า ขอรับ ท่านผู้เจริญ. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า นี้ต้นโพธิ์ นี้มณฑป นี้โรงอุโปสถ นี้โรงไฟ นี้ที่จงกรม ท่านให้เขาสร้างหรือ ท่านให้ปลูกต้นไม้เหล่านี้ สร้างวิหารน่ารื่นรมย์ดุจนันทนวันหรือ. ภิกษุนั้นตอบว่า ขอรับท่านผู้เจริญ. ในเวลาเย็นท่านไปสู่ที่บำรุงพระเถระ ไหว้แล้วถามว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงมาขอรับ. พระเถระกล่าวว่า อาวุโส พวกเราจะพาท่านไปเรียนกรรมฐานในสำนักพระเถระชื่อโน้น จักพร้อมเพรียงกันทำสมณธรรมในป่าชื่อโน้น เพราะฉะนั้น พวกเราจึงพากันมาด้วยเหตุนี้. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ดีละขอรับ ธรรมดาว่า ท่านมาเพื่อประโยชน์แก่กระผม แม้กระผมก็เป็นผู้เบื่อหน่ายในที่นี้ ด้วยการอยู่มานานจึงจะไป กระผมขอรับบาตรจีวรขอรับ. พระเถระกล่าวว่า อาวุโส พวกเราเป็นสามเณรและภิกษุหนุ่ม เหน็ดเหนื่อยมาในหนทาง วันนี้พักอยู่ก่อน พรุ่งนี้เวลาหลังอาหารจักไป. เธอกล่าวว่า ดีละ ท่านขอรับ วันรุ่งขึ้นก็ไปบิณฑบาตกับสามเณรและภิกษุหนุ่มเหล่านั้น. ชาวบ้านคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา พาภิกษุอาคันตุกะมามากดังนี้แล้ว จึงพากันตกแต่งอาสนะ ให้ดื่มข้าวยาคู นั่งอย่างสบายฟังกถา นำภัตตาหารมา. พระเถระทั้งหลายกล่าวว่า อาวุโส ท่านจงทำอนุโมทนาแล้วออกไป พวกเราจักกระทำภัตกิจ ในที่สำราญด้วยน้ำ ดังนี้แล้วออกไป. ชาวบ้านฟังอนุโมทนาแล้วถามว่า ท่านขอรับ พระเถระทั้งหลายมาแต่ไหน. พระเถระทั้งหลายกล่าวว่า พระเถระเหล่านั้นเป็นอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของพวกเรา เป็นผู้ร่วมอุปัชฌาย์ เป็นผู้เคยเห็นเคยคบกันมา. ชาวบ้านถามว่า พระเถระเหล่านั้นมาทำไมกัน. เธอตอบว่า มาเพราะต้องการจะพาอาตมาไป. พวกชาวบ้านถามว่า ก็ท่านเล่าประสงค์จะไปหรือ. เธอตอบ อย่างนั้นสิผู้มีอายุ. พวกชาวบ้านพูดว่าท่านขอรับ ท่านพูดอะไร พวกผมสร้างโรงอุโบสถเพื่อใคร สร้างโรงฉันเพื่อใคร สร้างโรงไฟเพื่อใคร พวกเราจักไปสำนักของใคร ในกาลอันเป็นมงคลและอวมงคล. ฝ่ายอุบาสิกาทั้งหลายนั่งในที่นั้นนั่นแลก็หลั่งน้ำตา. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายได้รับทุกข์อย่างนี้ อาตมาจะไปทำอะไร ดังนี้ แล้วส่งพระเถระไปแล้วกลับไปวิหาร. แม้พระเถระทั้งหลายเสร็จภัตกิจแล้ว นั่งถือบาตรและจีวรรออยู่ พอเห็นภิกษุหนุ่ม จึงกล่าวว่า อาวุโส ทำไมจึงช้าอยู่ ยังวันอยู่หรือ เราจะไปละ. ภิกษุกล่าวว่า อย่างนั้นขอรับ ท่านได้รับสุข มูลของอิฐสำหรับบ้านโน้นยังค้างอยู่คงอยู่ตามสัณฐานที่ตั้งไว้นั่นแหละ มูลของจิตรกรรมเป็นต้น สำหรับบ้านโน้นเป็นต้นก็ยังค้างอยู่ แม้เมื่อกระผมไปเสีย จิตก็จักฟุ้งซ่าน พวกท่านจงล่วงหน้าไปกระทำการซักและการย้อมจีวรเป็นต้นในวิหารโน้น กระผมจักถึงในที่นั่น. พระเถระเหล่านั้นรู้ว่าภิกษุหนุ่มนั้นประสงค์ถ่วงเวลาจึงกล่าวว่า ท่านพึงมาในภายหลัง ดังนี้แล้วก็หลีกไป. ภิกษุหนุ่มนั้นตามไปส่งพระเถระแล้วกลับมาวิหารนั่นแหละ จึงตรวจดูโรงฉันเป็นต้น เห็นวิหารน่ารื่นรมย์ จึงคิดว่า ดีแล้วหนอ เราไม่ไปละ ถ้าไป พระธรรมกถึกบางรูปนั่นแหละมาทำลายจิตใจของคนทุกคน ทำวิหารให้เป็นของนิกายตน เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไปภายหลังฉันข้าวของชนที่เราได้ภายหลัง จักพักเที่ยวไป. สมัยต่อมา ภิกษุหนุ่มนั้นฟังว่า เล่ากันมาว่าภิกษุเหล่านั้นเรียนพุทธพจน์ ได้ ๑ นิกาย ๒ นิกาย ๑ ปิฎกและ ๒ ปิฎกเป็นต้น ก็เป็นพระอรรถกถาจารย์ เป็นพระวินัยธร มีบริวารเป็นร้อยเป็นพัน เที่ยวไป. ส่วนภิกษุเหล่าใดไปเพื่อจะทำสมณธรรมในที่นั้น ภิกษุเหล่านั้นเพียรพยายามก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานด้วยสักการะอย่างใหญ่ เธอคิดว่าถ้าเราจักไปแล้วไซร้ สมบัตินี้ก็จักเป็นของเรา แต่เราเมื่อไม่สามารถจะเปลื้องฐานะนี้ได้ จึงต้องเป็นผู้เสื่อมอย่างยิ่ง. บุคคลนี้เมื่อเปลื้องฐานะนั้น หยั่งลงสู่อริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิ ไม่สามารถบรรลุถึงสาครคือพระนิพพานได้ เพราะตนเป็นผู้อ่อนโยน. บุคคลผู้ประพฤติย่อหย่อน เรียนบรรดาปฏิปทามีรถวินีตสูตร มหาอริยวังสสูตรและจันโทปมสูตรเป็นต้น ปฏิปทาอย่างใดอย่างหนึ่ง พึงทราบเหมือนต้นไม้เกิดเอง เป็นดังสะพานข้ามในระหว่าง แล้วเกิดเป็นปัจจัยที่อาศัยของชนเป็นอันมาก เพราะมันล้มลงขวางแม่น้ำคงคาแล้วถูกทรายกลบทับไว้. จริงอยู่ บุคคลนั้นเรียนธรรมอันอาศัยข้อปฏิบัตินั้น ตามปกติเป็นผู้มีเสียงไพเราะ ก็บรรลุฐานะอันยิ่งใหญ่ เช่นกับเขาจิตตลบรรพตเป็นต้น กระทำวัตรมีเจติยังคณวัตรเป็นต้น. ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มพวกอาคันตุกะกล่าวกะท่านภิกษุหนุ่มผู้มาถึงโรงฟังธรรมว่า ท่านจงกล่าวธรรม. ภิกษุหนุ่มนั้นกล่าวแสดงธรรมปฏิปทาที่ตนเรียนมาโดยชอบ. ลำดับนั้น เหล่าภิกษุผู้เถระ ผู้ใหม่และมัชฌิมะทั้งหมดมีภิกษุผู้ทรงบังสุกุลิกธุดงค์และภิกษุทรงปิณฑปาติกธุดงค์เป็นต้น มีความดีใจต่อภิกษุหนุ่มนั้นว่า ดีจริง ท่านสัตบุรุษ. ภิกษุหนุ่มนั้นเริ่มตั้งเพียงนิทานของบางสูตร กึ่งคาถาบางสูตร คาถาหนึ่งบางสูตร สงเคราะห์ภิกษุหนุ่มและสามเณร ประหนึ่งผูกติดกันด้วยแผ่นเหล็ก แล้วเข้าไปหาพระมหาเถระ ถามว่า ท่านผู้เจริญ ก็วิหารเก่านี้มีอยู่ ปัจจัยลาภไรๆ เกิดในวิหารนั้น ก็ต้องเป็นของภิกษุในวิหารนั้น. พระเถระทั้งหลายกล่าวว่า อาวุโส ท่านพูดอะไร ปัจจัยลาภเกิดในวิหารนั้นได้เนื้อที่ถึง ๒๔,๐๐๐ กรีส. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกท่านกล่าวอย่างนี้ แต่แม้ไฟก็ไม่ติดลุกที่เตาไฟ. พระเถระกล่าวว่า อาวุโส ขึ้นชื่อว่าปัจจัยลาภที่ภิกษุผู้อยู่ในวิหารได้แล้วไม่มีอย่างนี้เลย ใครเล่าไม่ปรารถนา. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า ทานวัตถุที่พระราชาเก่าๆ พระราชทาน พระขีณาสพรับไว้แล้ว เพราะเหตุไร พระขีณาสพเหล่านั้นจึงจะทำปัจจัยลาภให้เสียหาย. พระเถระกล่าวว่า อาวุโส อันพระธรรมกถึกเช่นท่านก็พึงสามารถที่จะได้. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านอย่าพูดอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่าพระธรรมกถึกผู้แสดงข้อปฏิบัติ สำคัญกระผมว่าเป็นสังฆกุฏุมพี เป็นผู้บำรุงวิหาร จึงปรารถนาจะกระทำต่อกระผม. พระเถระกล่าวว่า อาวุโส ข้อนั้นเป็นอกัปปิยะ ข้อนี้ไม่ควรหรือ แต่เมื่อผู้เช่นท่านกล่าวแล้ว ข้อนั้นจะพึงเกิดแก่พวกผม. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น เมื่อคนวัดมา ท่านจงไว้หน้าที่พวกกระผม พวกกระผมจักบอกประตูกัปปิยะ ข้อสมควรอย่างยิ่ง. ภิกษุหนุ่มไปแต่เช้าตรู่ ยืนอยู่ในเวลาประชุม เมื่อคนวัดมาจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อุบาสกทั้งหลาย ภาระในเขตโน้นอยู่ที่ไหน กหาปณะในเขตโน้นอยู่ที่ไหน จึงจับมือคนหนึ่งให้แก่อีกคนหนึ่ง. เมื่อเขาปฏิเสธข้อนั้นๆ ตามลำดับอย่างนี้ ให้แก่ผู้คนนั้นๆ กระทำโดยอาการที่อุบาสกทั้งหลายถือข้าวยาคู ถือขนม ถือภัตและถือขวดใส่น้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้นมายังสำนักของตน. วิหารทุกวิหารก็โกลาหลเป็นอย่างเดียวกัน. พวกภิกษุผู้น่ารักต่างแยกย้ายกันไป. แม้ภิกษุหนุ่มนั้นก็ทำหน้าที่เป็นอุปัชฌาย์ยังวิหารให้เต็มด้วยภิกษุผู้ว่ายากเป็นอันมาก ผู้ถูกอาจารย์และอุปัชฌาย์ประณามแล้ว. ภิกษุพวกอาคันตุกะยืนที่ประตูวิหาร ถามว่าใครอยู่ในวิหาร ได้ฟังว่า พวกภิกษุชื่อเห็นปานนี้ ต่างก็หลีกไปเสียทางด้านนอก. บุคคลนี้ยึดถือมหาชนเป็นปัจจัย หยั่งลงสู่อริยมรรค นั่งบนทุ่นคือสมาธิ ไม่สามารถจะบรรลุถึงสาครคือพระนิพพานได้ เพราะนอนขวางในพระศาสนา. บทว่า ภควนฺตํ เอตทโวจ ความว่า ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งรู้พระธรรมเทศนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จบลง ด้วยบทว่า นิพฺพานปพฺภารา แล้วได้กล่าวคำนี้ คือ คำมีอาทิว่า กึ นุ โข ภนฺเต (อะไรหนอ พระเจ้าข้า) ดังนี้ เพราะตนเป็นผู้ฉลาดในอนุสนธิ. จริงอยู่ แม้พระตถาคตประทับนั่งในบริษัทนี้ ทรงพระดำริว่า ภิกษุผู้ฉลาดในอนุสนธิมีอยู่ ภิกษุนั้นจักถามเรา จึงกระทำเทศนาให้จบลงในที่ตรงนี้ เพื่อทรงให้โอกาสแก่ภิกษุนั้นนั่นแล. บัดนี้ พึงทราบความเข้าไปยึดและไม่เข้าไปยึดเป็นต้น ในอายตนะภายในเป็นต้นที่กล่าวแล้วโดยนัยมีอาทิว่า โอริมํ ตีรํ อย่างนี้. ภิกษุผู้คิดว่า จักษุของเราแจ่มใส เราสามารถรู้แจ้งรูปารมณ์ แม้มีประมาณน้อยได้ดังนี้แล้ว รูปารมณ์นั้นทำจักษุให้เพลิดเพลินอยู่ก็ดี ผู้มีจักษุประสาทเสียเพราะความมืดและลมเป็นต้น ถึงโทมนัส (ความเสียใจ) ว่า จักษุของเราไม่น่าชอบใจ เราไม่สามารถจะทำรูปารมณ์แม้ใหญ่ให้แจ่มแจ้มได้ก็ดี ชื่อว่าเข้าไปยึดจักขวายตนะ แต่เมื่อเห็นแจ้งด้วยอำนาจลักษณะ ๓ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ชื่อว่าไม่เข้าไปยึด (จักขวายตนะ) แม้ในโสตายตนะเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน ส่วนในมนายตนะ ภิกษุชอบใจอย่างนี้ว่า ใจของเราน่าชอบใจหนอ ไม่ถืออะไรๆ ทางข้างซ้าย ถือเอาทุกสิ่งทางข้างขวาเท่านั้น หรือยินดีอย่างนี้ว่า เมื่อเราคิดแล้วคิดเล่าด้วยจิต ชื่อว่า ไม่มีลาภ ไม่มีก็ดี เกิดโทมนัส (ความเสียใจ) ขึ้นอย่างนี้ว่า เมื่อเราคิดแล้วคิดเล่าแต่สิ่งชั่ว ใจก็ไม่ยอมรับเอา ดังนี้ก็ดี ชื่อว่าเข้าไปยึดมนายตนะ แต่เมื่อให้เกิดความยินดีในรูปที่น่าปรารถนา ให้เกิดความยินร้ายในรูปที่ไม่น่าปรารถนา ชื่อว่าเข้าไปยึดรูปายตนะ. แม้ในสัททายตนะเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน บทว่า นนฺทิราคสฺเสตํ อธิวจนํ ความว่า เหมือนอย่างว่า ทรายละเอียดและหยาบปิดท่อนไม้ที่จมตรงกลาง (นอกนั้น) อยู่บนบก ท่อนไม้นั้นไม่สามารถจะยกปลายขึ้นได้อีก ฉันใด บุคคลผู้อันนันทิราคะติดพันแล้วก็ฉันนั้น ตกไปในอบาย ๔ ถูกทุกข์ใหญ่บีบคั้น เขาไม่สามารถเงยศีรษะขึ้นได้อีกตั้งหลายพันปี ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า นนฺทิราคสฺเสตํ อธิวจนํ ดังนี้. บทว่า อสฺมิมานสฺเสตํ อธิวจนํ ความว่า เหมือนอย่างว่า ท่อนไม้ที่งอกขึ้นบนบก ท่อนล่างแช่น้ำในแม่น้ำคงคา ท่อนบนเปียกน้ำฝน ถูกสาหร่ายหุ้มรัดไว้โดยลำดับ ก็จะถูกเขาต่อว่าว่าตอนั้นเป็นแผ่นหินหรือฉันใด บุคคลผู้ถือตัวด้วยอัสมิมานะก็ฉันนั้น ถือว่าเป็นผู้ถือบังสุกุลเป็นวัตรในฐานะของผู้ถือบังสุกูลิกังคธุดงค์ เป็นพระธรรมกถึกในฐานะพระธรรมกถึก เป็นผู้รักษาเรือนคลังในฐานะภัณฑาคริก เป็นแพทย์ในฐานะเป็นแพทย์ เป็นผู้ส่อเสียดในฐานะเป็นผู้ส่อเสียด. บุคคลนั้นถึงการแสวงหาที่ไม่สมควรมีประการต่างๆ ถูกอาบัตินั้นๆ ผูกพันไว้ ก็จะถูกเขาต่อว่า ศีลอะไรๆ ภายในของเขา มีหรือไม่มีหนอ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า อสฺมิมานสฺเสตํ อธิวจนํ ดังนี้. บทว่า ปญฺจนฺเนตํ กามคุณานํ อธิวจนํ ความว่า เหมือนอย่างว่า ท่อนไม้ที่ตกไปในน้ำวน ถูกกระแทกที่แผ่นหินเป็นต้น แหลกละเอียดภายในนั้นนั่นแลฉันใด บุคคลผู้ตกไปในวังวน คือกามคุณ ๕ ก็ฉันนั้น ถูกทุกข์อันเกิดแต่ความหิวกระหายเป็นต้น กระทบกระทั่งบีบคั้น เพราะกรรมกรณ์ (การลงโทษ) ในอบาย ๔ ถึงความแหลกละเอียดตลอดกาลนาน ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ปญฺจนฺเนตํ กามคุณานํ อธิวจนํ ดังนี้. บทว่า ทุสฺสีโล ได้แก่ ผู้ไม่มีศีล. บทว่า ปาปธมฺโม แปลว่า ผู้มีธรรมอันลามก. บทว่า อสุจิ แปลว่า ไม่สะอาด. บทว่า สงฺกสฺสรสมาจาโร ความว่า ผู้มีความประพฤติที่ผู้อื่นพึงระลึกโดยความรังเกียจอย่างนี้ว่า กรรมนี้เห็นจะเป็นของผู้นี้ เห็นจะเป็นของผู้นี้. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าผู้มีความประพฤติน่ารังเกียจ เพราะประพฤติสมาจารต่อบุคคลอื่น ความรังเกียจดังนี้ก็มี. จริงอยู่ ผู้นั้นชื่อว่ามีสมาจารน่ารังเกียจ เพราะเห็นคน ๒-๓ คนพูดกัน ก็รังเกียจคือแล่นไปสู่ความประพฤติของคนเหล่านั้นว่า ผู้คนเหล่านี้ชะรอยจะกล่าวโทษเราดังนี้ก็มี. บทว่า สมณปฏิญฺโญ ความว่า ในการจับสลากเป็นต้น เมื่อเขาเริ่มนับว่า สมณะในวิหารมีเท่าไร ภิกษุนั้นก็ปฏิญญาว่า แม้เราก็เป็นสมณะ แม้เราก็เป็นสมณะ กระทำการจับสลากเป็นต้น. บทว่า พฺรหฺมจารีปฏิญฺโญ ความว่า ในอุโบสถกรรมและปวารณากรรมเป็นต้น ภิกษุนั้นย่อมเข้าสังฆกรรมเหล่านั้น โดยปฏิญญาว่า แม้เราก็เป็นพรหมจารี. บทว่า อนฺโตปูติ ความว่า ชื่อว่าความเป็นผู้เน่าใน เพราะเป็นความเน่าของคุณความดี แม้ของบุคคลผู้ไม่เน่า ในอาการ ๓๒ มีไตและหัวใจเป็นต้น. บทว่า อวสฺสุโต แปลว่า ผู้อันราคะชุ่มแล้ว. บทว่า กสมฺพุกชาโต ได้แก่ เกิดเป็นหยากเยื่อ เพราะกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น. บทว่า เอตทโวจ ความว่า นายนันทะคนเลี้ยงโค ต้อนฝูงโคให้บ่ายหน้าสู่ฝั่งแม่น้ำคงคา แล้วยืนอยู่ท้ายบริษัท ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วคิดว่า พระศาสดาตรัสว่า เธออาจบำเพ็ญข้อปฏิบัติด้วยอำนาจเป็นผู้ไม่เข้าถึงฝั่งในเป็นต้น ถ้าเราอาจบำเพ็ญอย่างนั้นได้ไซร้ เราบวชแล้วจักบำเพ็ญได้ ดังนี้แล้วจึงได้กราบทูลคำนี้ คือคำว่า อหํ ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น. บทว่า วจฺฉคิทฺธินิโย ความว่า แม่โคทั้งหลาย มีความรักในลูกโคทั้งหลาย ด้วยทั้งนมที่กำลังหลั่งน้ำนมอยู่ ก็จักไปหาเอง เพราะความรักในลูกโค. บทว่า นิยฺยาเตเหว แปลว่า จงมอบให้. จริงอยู่ เมื่อแม่โคยังไม่ถูกมอบให้ เจ้าของโคทั้งหลายก็จักเที่ยวตามหลังท่านด้วยคิดว่า แม่โคตัวหนึ่งไม่เห็น โคตัวหนึ่ง ลูกโคตัวหนึ่งก็ไม่เห็น เพื่อแสดงว่า ความผาสุกจักมีด้วยประการฉะนี้ และขึ้นชื่อว่าบรรพชานี้ ไม่งอกงามสำหรับผู้ยังมีหนี้ และการบรรพชาที่ไม่มีหนี้ บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว จึงตรัสอย่างนั้น. บทว่า นิยฺยาติตา แปลว่า ถูกมอบให้แล้ว. ในสูตรนี้ ตรัสถึงวัฏฏะและวิวัฏฏะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น