วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558
กาลเวลากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ตัวมันเองหลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อไม่เจอท่านนานเลย หลายปี จนก่อนท่านมรณภาพไม่นาน ท่านไปเทศน์ที่องค์การโทรศัพท์ ปีสี่เท่าไหร่ ปี ๔๑ ประมาณนี้ จำไม่ได้แล้ว พอเข้าไป ท่านมาเทศน์เสร็จก็คลานเข้าไป กราบท่าน บอกว่า หลวงพ่อผมไม่เจอหลวงพ่อนานแล้ว ท่านบอกว่า หลวงพ่อจำได้นักปฏิบัติมีไม่มากหรอก หลวงพ่อผมยังทำลายผู้รู้ไม่ได้เลย โอ้..คราวนี้นะ ท่านเปลี่ยนไปเลยนะ เหมือนท่านเป็นคนอีกคนหนึ่งเลย กริยาท่าทางของท่านองอาจผึ่งผายนะ ท่านบอกว่า จิตผู้รู้เหมือนฟองไข่ เมื่อลูกไก่เติบโตเต็มที่แล้ว จะเจาะทำลายเปลือกออกมาเอง พูดห้าวหาญมากเลย โห..เราฟังปุ๊บเราเข้าใจแล้ว ท่านทำลายเปลือกออกมาได้แล้ว ท่านห้าวหาญมากเลย ท่านบอกวิธีให้นะ ไม่ได้ทำอะไรนะ รอให้ลูกไก่นี้โตขึ้นมา แล้วลูกไก่จะเจาะเปลือกเอง ก็คือธรรมะอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเคยสอนนั่นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรผลนิพพานได้นะ จิตบรรลุเอง เรามีหน้าที่เจริญศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญไตรสิกขานั่นเอง เมื่อเจริญเต็มที่แล้วนี่นะ จิตมีพลัง มีพลานุภาพเต็มที่แล้วนี่นะ จะเจาะทำลายอาสวะออกมาเอง พระพุทธเจ้าท่านเทียบเหมือนคนทำนา บอกว่าชาวนานไม่สามารถทำให้ข้าวออกรวงได้ ข้าวมันออกรวงของมันเอง สิ่งที่ชาวนาทำได้คือไถนา ไถอยู่ที่ดินไม่ได้ไปไถต้นข้าว หว่านเมล็ดข้าวลงไปในนา แล้วก็เอาน้ำเข้านา ช่วงไหนน้ำน้อยก็เติมน้ำ ช่วงไหนน้ำมากก็ไขน้ำออก ถึงเวลาแล้วข้าวก็ออกรวง ข้าวออกเมล็ด ข้าวก็ออกของมันเอง ชาวนาไม่ได้ออกเมล็ดข้าวมา จิตนี้ก็เหมือนกันนะ เราเจริญไตรสิกขา ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญอย่างนี้แหละ ถึงวันที่เขาพอเพียงแล้ว อริยมรรคก็จะเกิดขึ้นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเรานะ ค่อยฝึกไป คอยรู้กายคอยรู้ใจนะ ถือศีล ๕ ไว้เป็นเบื้องต้น วันไหนจิตใจฟุ้งซ่านมากก็ทำความสงบเข้ามา ให้จิตใจได้พักผ่อนบ้าง พอจิตใจสงบแล้วและพักผ่อนพอสมควรแล้วก็ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ให้เจริญปัญญาด้วยการมีสติรู้กายอย่างที่กายเขาเป็น มีสติรู้จิตอย่างที่จิตเขาเป็น ไม่เข้าไปแทรกแซงเขา เวลารู้ ให้รู้อยู่ห่างๆ อย่าถลำลงไปรู้ อย่ากระโจนลงไปรู้ รู้อยู่ห่างๆเหมือนดูคนอื่น ดูกายนี้เหมือนดูกายคนอื่น ดูเวทนานี้เหมือนดูเวทนาคนอื่น ดูจิตนี้เหมือนดูจิตคนอื่นไป ดูเหมือนดูคนอื่นเรื่อยๆ ทั้งกายทั้งเวทนาทั้งจิตนี้เป็นแต่สภาวธรรมซึ่งถูกรู้ถูกดู สิ่งใดถูกรู้สิ่งใดถูกดูสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นของอยู่นอกๆนะไม่ใช่ตัวเราหรอก ให้เฝ้ารู้เฝ้าดูไป กระทั่งต่อมาเราจะเห็นว่า แม้กระทั่งผู้รู้ผู้ดูเองก็เกิดๆดับๆ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง ใช่มั้ย เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ผู้รู้เองก็เกิดดับๆเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆไม่มีอะไรคงที่สักอันเดียวเลย เนี่ยดูอย่างนี้เรื่อยๆไปนะ วันหนึ่งลูกไก่ก็จะหลุดออกมาจากเปลือกได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น